กินสู้โรค กินกู้โลก | Now and Beyond

กินสู้โรค กินกู้โลก | Now and Beyond

กินอย่างไรให้สุขภาพดีและดีต่อโลกด้วย เป็นประเด็นที่นักวิชาการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมระดมสมองช่วยกันคิดมานานแล้ว แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ผู้เชื่อว่าภาวะโลกร้อนไม่มีอยู่จริงจะยืนหยัดในความคิดตัวเองสักเพียงใดก็ตาม

แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่นับวันจะถี่และรุนแรงขึ้นแม้แต่ในประเทศไทยเอง 

ทำให้นักวิชาการทั้งหลายพยายามหาแนวทางที่จะช่วยกอบกู้โลก และพบว่าการบริโภคอาหารของคนเรานี่แหละสร้างผลกระทบต่อโลกอย่างมาก ถ้าเราเปลี่ยนวิถีการบริโภคเสียใหม่จะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและกอบกู้โลกให้กลับมาน่าอยู่ขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

เมื่อปี 2562 The EAT-Lancet Commission ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างมูลนิธิ EAT องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งศึกษาเรื่องความยั่งยืนทางอาหาร มีสำนักงานอยู่ที่ประเทศนอรเวย์ ร่วมกับ The Lancet วารสารทางการแพทย์ชื่อดัง

ได้นำนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร สิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม สาธารณสุข จาก 16 ประเทศมาร่วมกันทำงานและออกรายงานสำคัญฉบับหนึ่งที่น่าสนใจ

รายงานที่ว่านี้ได้เสนอแนะการกินแบบที่เรียกว่า Planetary Health Diet (PHD) จะเรียกว่า “กินกู้โลก” ก็ยังได้ ซึ่งมีเป้าหมายคือ 1) เพื่อให้โลกเราสามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรได้ 10,000 ล้านคนในปี 2593 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า 2) ปกป้องระบบนิเวศโลกให้อยู่รอดปลอดภัยอย่างยั่งยืน และ 3) ป้องกันการเสียชีวิตของพลเมืองโลกอันเนื่องจากการบริโภคอาหาร

การกินแบบ PHD เน้นลดการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปทั้งหลายลงให้มาก หันไปบริโภคเนื้อไก่ ปลา ไข่ พอควร แต่ที่เน้นๆ คือเพิ่มการกินผักและผลไม้ กินธัญพืชแบบเต็มเม็ด ไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว ถั่วสีต่างๆ ถั่วเปลือกแข็งที่ให้โปรตีนสูง ลดอาหารน้ำตาลและไขมันสูง

การกินแบบนี้จะทำให้พลเมืองโลกมีสุขภาพดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากโรคร้ายแรงที่ไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ฯลฯ ขณะเดียวกันโลกก็ดีขึ้นจากการลดการทำปศุสัตว์

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าปศุสัตว์ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสูงมากจากทั้งคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน (การทำปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 14.5% ของโลกในปัจจุบัน)

นอกจากนั้นยังประหยัดการใช้พื้นที่ ลดการบุกรุกทำลายป่า และประหยัดการใช้น้ำด้วย (การผลิตเนื้อ 1 กิโลกรัมใช้น้ำประมาณ 15,000 ลิตรแต่การผลิตธัญพืชใช้น้ำเพียง 1 ใน 10 และการเลี้ยงปศุสัตว์ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อปลูกพืชอาหารป้อนสัตว์ โดยเฉพาะพืชเชิงเดี่ยวและทุ่งขนาดใหญ่เพื่อปล่อยสัตว์หากิน)

การกินแบบ PHD จึงนับว่าเป็นการกินแบบ Win-Win คือคนกินได้ลดโรคมีสุขภาพดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล โลกและสิ่งแวดล้อมก็ดีเพราะสามารถลดก๊าซเรือนกระจก การบุกรุกทำลายป่า ดินเสื่อมสภาพ น้ำเสีย

การกินแบบ PHD สนับสนุนให้ชุมชนพยายามกินในสิ่งที่เป็นพืชพรรณในท้องถิ่น เป็นผลผลิตตามฤดูกาล กลับไปสู่วัฒนธรรมการกินแบบดั้งเดิมของตัวเอง อย่างเช่นในเมืองไทยแต่ก่อนก็กินสิ่งที่หาได้จากในท้องถิ่นเป็นหลัก

แต่เดี๋ยวนี้หันมากินแบบตะวันตกอย่างอาหารจานด่วนที่นำมาซึ่งโรคภัยใหม่ๆ มากขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น พึ่งพาการขนส่งมากขึ้น ใช้พลังงานมากขึ้น เป็นการไม่ประหยัดด้วยประการทั้งปวง

รายงานจากคณะนักวิทยาศาสตร์ฟันธงตรงๆ เลยว่าหากต้องการให้อีก 25 ปีข้างหน้าสามารถเลี้ยงประชากรโลกได้ถึง 10,000 ล้านคน ต้องลดการบริโภคเนื้อแดงและน้ำตาลลงไม่น้อยกว่า 50% ขณะที่ต้องเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ อย่างน้อย 2 เท่า

หากทำได้ก็จะสามารถป้องกันการตายก่อนวัยอันควรได้ปีละประมาณ 11 ล้านคน และสามารถผลิตอาหารได้เพียงพอภายใต้ระบบนิเวศที่ยังประคับประคองให้อยู่รอดปลอดภัยได้

PHD นับเป็นการปฏิวัติการบริโภคของมนุษยชาติซึ่งจะเกิดผลดีกับทั้งคนและทั้งโลกตามข้อเสนอของนักวิทยาศาสตร์ แต่ใช่ว่าประเทศและภูมิภาคต่างๆ จะสามารถดำเนินตามแนวทางนี้ได้ทั้งหมด

บางประเทศหรือภูมิภาคที่พึ่งพิงการส่งออกเนื้อสัตว์เพื่อเลี้ยงชาวโลกเป็นหลักอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รายได้มหาศาลจะหายไปเลยหากเปลี่ยนการผลิตอาหารมาเป็นธัญพืชและผักต่างๆ และจะกระทบเกษตรกรจำนวนมากรวมถึงกิจการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ ซึ่งรัฐบาลย่อมไม่กล้าเสี่ยง

นอกจากนั้น มาตรฐานชีวิตของประชากรในแต่ละประเทศที่ไม่เท่าเทียมกันในปัจจุบันย่อมยากที่จะให้ประเทศทั้งหลายมาดำเนินการผลิตอาหารในรูปแบบเดียวกัน อย่างเช่น ในประเทศกำลังพัฒนายังมีปัญหาทุพโภชนาการในหลายประเทศ

ประชากรจำนวนมากยังขาดสารอาหารโดยเฉพาะอาหารโปรตีน ก็ยังต้องมีการส่งเสริมให้ผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วและมีประชากรสูงวัยจำนวนมาก การบริโภคเนื้อสัตว์จะลดน้อยลง 

ที่สำคัญอีกอย่างคือ วัฒนธรรมการกินของแต่ละประเทศแตกต่างกันมาก การกินยังเกี่ยวเนื่องกับความชอบ อารมณ์ความรู้สึก ที่ยากจะเปลี่ยนแปลง คนในแต่ละพื้นที่ของโลกนี้ก็ยังมีความรู้และความตื่นตัวในเรื่องการกินเพื่อความยั่งยืนไม่เท่ากัน

ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติของแต่ละพื้นที่ก็ต่างกัน ไม่นับว่ารัฐบาลแต่ละประเทศยังมีมาตรการหรือการส่งเสริมการเกษตรที่คำนึงถึงความยั่งยืนในระดับที่แตกต่างกันด้วย

เป้าหมายของ The EAT-Lancet Commission ยังเหลืออีก 25 ปี ซึ่งไม่ได้ยาวนักที่จะเปลี่ยนวิถีการกินของคนทั้งโลกซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่และท้าทายมาก ที่ยากคือเรื่องนี้ไม่มีวิธีการแบบ one size fit all เพราะเงื่อนไขของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน

แต่หากทุกคนจะเริ่มต้นที่ตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีกินอย่างตั้งใจที่จะ “กินสู้โรค กินกู้โลก” ไปทีละเล็กละน้อยก็นับว่ามีส่วนช่วยโลกได้บ้างแล้ว