กินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต 'อาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก' แหล่งโซเดียม

กินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต 'อาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก' แหล่งโซเดียม

คนไทยป่วยโรคไตเรื้อรังทะลุ 1.12 ล้านคน ค่าใช้จ่ายรักษากว่า 1.6 หมื่นล้าน  แพทย์เผยกินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต เตือนคนไทยลดอาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก แหล่งโซเดียมที่ทำไตพังไม่รู้ตัว

โรคไตเรื้อรัง เป็นหนึ่งในโรคไม่ติดต่อที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลล่าสุดปี 2567 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังถึง 1.12 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 3 จำนวน 5 แสนคน ระยะที่ 4 กว่า 1.2 แสนคน และระยะที่ 5 อีก 7.5 หมื่นคน

ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทดแทนไตสูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2567 คาดการณ์การใช้จ่ายอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท

หลายคนเข้าใจว่าถ้า “ไม่ติดเค็ม" ก็คงไม่เสี่ยง "โรคไต” แต่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำร้ายไตอย่าง “โซเดียม” กลับซ่อนอยู่ในอาหารไม่เค็มหลายอย่าง ทั้งในขนมปังหรือกุนเชียงที่แทบไม่มีรสเค็ม หรือแม้แต่ชานมไข่มุกและเยลลี่ 

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่การศึกษาพบว่าคนไทยส่วนใหญ่กลับกินโซเดียมมากถึง 3,600–3,700 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกินเกือบเท่าตัว 

สะท้อนถึงความไม่รู้ในเรื่องโซเดียมที่ซ่อนอยู่ในอาหาร แหล่งที่มาของโซเดียมที่เราไม่เคยรู้ ทำให้หลายคนเป็นโรคไตไม่รู้ตัว และกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่โรคไตเข้าสู่ระยะรุนแรงจนสายเกินแก้

รู้จักโรคไตทั้ง 5 ระยะ

พญ.ฉมานันท์ สัจจานนท์ อายุรแพทย์โรคไต ศูนย์อายุรกรรม รพ.วิมุต  ให้ข้อมูลว่า ไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยกรองของเสีย ช่วยควบคุมระดับน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะที่เรียกว่า 'โรคไต' จึงหมายถึงการที่ไตทำงานผิดปกติ ซึ่งแบ่งการวินิจฉัยออกเป็น 2 แบบ

1.การตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น มีนิ่วหรือถุงน้ำในไต สภาพไตผิดปกติจากการอัลตราซาวนด์โปรตีนรั่วในไต เม็ดเลือดแดงและขาวรั่วออกมาจากปัสสาวะ เป็นต้น

กินไม่เค็มก็เสี่ยงโรคไต 'อาหารแปรรูป-เบเกอรี่-ชานมไข่มุก' แหล่งโซเดียม

2.ตรวจพบว่าอัตราการการกรองของเสียของไต (eGFR) ต่ำกว่า 60 ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ซึ่งค่านี้อาจจะลดลงเมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไปจนเลือดเสียสมดุล ทำให้เรากระหายน้ำและดื่มน้ำมากขึ้น พอน้ำและโซเดียมไปสะสมในเลือดมากจะทำให้ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้ไตทำงานหนักจนหน่วยกรองไต (glomerulus) ถูกยืดและเสื่อมลง ทำให้ค่า eGFR ลดต่ำลงเรื่อย ๆ จนกระทบสุขภาพ

ในส่วนโรคไตที่วัดจากค่า eGFR แบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยระยะที่ 1 จะมีค่า eGFR เกิน 90 ระยะที่ 2 จะมีค่า eGFR อยู่ในช่วง 60–90 ซึ่งยังไม่นับว่าเป็นโรคไตเสื่อม เป็นการบ่งบอกว่าไตเริ่มทำงานผิดปกติ แต่มักไม่ทำให้เกิดอาการชัดเจน ทว่าเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งค่า eGFR จะลดลงต่ำกว่า 60 อาจจะเริ่มเกิดอาการผิดปกติ เช่น ตัวบวม ปัสสาวะเริ่มมีฟอง หรือปวดศีรษะรุนแรง จากความดันโลหิตสูง

หากปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะที่ 4–5 ที่มีค่า eGFR ต่ำกว่า 30 อาจทำให้ไตเสียหายถาวร โดยผู้ป่วยอาจปัสสาวะออกน้อยลง ตัวบวมเรื้อรัง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีอาการสับสนหรือซึม ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาอาจมีน้ำท่วมปอด หรือความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือเส้นเลือดสมองแตกได้

อาหารไม่เค็มแต่ ‘โซเดียม’ สูง

หลายคนเข้าใจอาหารที่มีโซเดียมต้องมีรสเค็ม แต่โซเดียมเป็นเพียงส่วนประกอบในเกลือหรือเครื่องปรุงรสที่เรียกว่าโซเดียมคลอไรด์ หากโซเดียมไปรวมกับสารอื่น ๆ อาจไม่ทำให้เกิดรสเค็ม แต่ก็ยังมีผลเสียต่อร่างกายเหมือนเดิม 

ตัวอย่างของอาหารที่มีโซเดียมแต่อาจไม่มีรสเค็ม ได้แก่ ขนมปังและเบเกอรี่ที่ใส่ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต อาหารแปรรูปอย่างไส้กรอกหรือกุนเชียงที่ใช้โซเดียมไนไตรท์เพื่อถนอมอาหาร หรือของหวานพวกชานมไข่มุกและเยลลี่ที่มีสารทำให้เหนียวหนึบอย่างโซเดียมอัลจิเนต และสุดท้ายคืออาหารกระป๋องและน้ำผลไม้กล่องที่มีโซเดียมเบนโซเอตเป็นสารกันบูด เป็นต้น

กลุ่มเสี่ยงโรคไตที่ต้องระวัง

กลุ่มเสี่ยงโรคไตที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต โดยเฉพาะโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำในไตหรือนิ่วในไต ส่วนอีกกลุ่มคือผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เพราะหากควบคุมโรคไม่ได้ ไตต้องกรองน้ำตาลหรือรับแรงดันสูงเกินไปจนเสื่อมเร็วขึ้น

ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่กินขนมขบเคี้ยวหรือฟาสต์ฟู้ดบ่อย ๆ ก็มักได้รับโซเดียมเกินจำเป็น คือมากกว่า 1,000 มก. สำหรับเด็ก และ 1,500 มก.

สำหรับวัยรุ่น แม้ร่างกายเด็กจะฟื้นตัวได้ดีกว่า แต่การสะสมโซเดียมตั้งแต่อายุยังน้อยก็เป็นตัวเร่งให้ไตเสื่อมในระยะยาว ส่วนอีกกลุ่มที่ต้องระวังคือผู้สูงอายุ เพราะร่างกายซ่อมแซมได้ช้าลงและมักมีโรคร่วมหลายอย่าง จึงต้องควบคุมการกินให้ดีกว่าเดิม

สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์ทันที

สัญญาณเตือนของโรคไตที่ไม่ควรมองข้าม จึงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาทันที ได้แก่

  • ปัสสาวะมีฟองมากขึ้น
  • ตื่นมาปัสสาวะบ่อยกลางดึก
  • ปัสสาวะออกน้อยลงหรือมีสีผิดปกติ เช่น สีน้ำตาลเข้มคล้ายน้ำปลาและน้ำอัดลม
  • หากมีอาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่เมื่อกดบริเวณหน้าแข้งหรือหลังเท้าไว้ 3–5 วินาทีแล้วเกิดรอยบุ๋มไม่คืนรูป
  • อาการบวมรอบดวงตาหรือใบหน้า ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายอาจมีโซเดียมหรือน้ำส่วนเกินสะสมมากเกินไป

ตรวจพบโรคไตระยะแรกยังรักษาได้

โรคไตจะรักษาตามสาเหตุและระยะของโรค หากตรวจพบค่า eGFR ผิดปกติไม่เกินระยะที่ 3 และไม่ได้ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ยังสามารถรักษาตามอาการและควบคุมโรค เช่น คุมความดันโลหิตและเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อลดภาระการทำงานของไต

 แต่ถ้าพบค่า eGFR เข้าสู่ระยะที่ 4-5 อาจต้องเข้าสู่การบำบัดทดแทน เช่น การฟอกไต ซึ่งมีทั้งการฟอกทางเลือดและการล้างไตทางช่องท้อง และในบางรายอาจต้องปลูกถ่ายไตเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติที่สุด

“หลายคนเป็นโรคไตเพราะไม่รู้ว่าอาหารที่กินอยู่ทุกวันมีโซเดียมมากกว่าที่คิด ดังนั้นอยากให้เริ่มลดโซเดียมวิธีง่าย ๆ ด้วยการไม่เติมเครื่องปรุงเพิ่ม ไม่ซดน้ำซุปจนหมด เน้นกินอาหารสดแทนข้าวกล่องหรืออาหารแปรรูป และดื่มน้ำระหว่างวันให้เพียงพอเพื่อช่วยขับโซเดียม ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะถ้าพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังมีโอกาสรักษาไตให้กลับมาแข็งแรงได้เสมอ” พญ.ฉมานันท์ กล่าว