‘ข้อเข่าเสื่อม’ วิจัยชี้ ‘กินคอลลาเจน’ ไม่ลดปวด ไม่เพิ่มความสามารถใช้ข้อเข่า

ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ฯเผยงานวิจัยในไทย “กินคอลลาเจน”ไม่ลดอาการปวด-ไม่เพิ่มความสามารถในการใช้งานข้อเข่า ส่วนใช้“สเต็มเซลล์”ยังไม่ได้รับการยอมรับมาใช้ทางการรักษาที่เป็นมาตรฐาน
KEY
POINTS
- ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยประกาศผลวิจัยชี้ว่า การกินคอลลาเจนไม่สามารถลดอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดีกว่ายาหลอก
- ผลการศึกษาดังกล่าวยังไม่พบว่าคอลลาเจนช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้งานข้อเข่าของผู้ป่วย เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกในช่วงเวลา 3 เดือน
- งานวิจัยนี้ทำการทดลองในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมปานกลาง 68 คน โดยเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่ได้รับคอลลาเจนผสม กับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกที่ทำจากแป้ง
“ข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่ผิวข้อเกิดการเสื่อมสภาพ ทําให้เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือเข่าผิดรูป และเกิดความเจ็บ ปวดที่ข้อเข่า หากเป็นมากอาจส่งผลให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หรือเดินไม่ได้ พบได้มากในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบโรคนี้ได้ในกลุ่มคนที่อายุน้อย จากสาเหตุที่แตกต่างกันไป
ปัจจัยของโรคข้อเข่าเสื่อม
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น เข่าผ่านการใช้งานที่ยาวนาน จึงเกิดความเสื่อมได้ตามเวลา
- น้ำหนักตัว น้ำหนักตัวที่มากทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น
- การใช้งาน การนั่งในท่าที่ต้องงอเข่าเกิน 90 องศา เป็นการเพิ่มแรงดันในข้อเข่า ส่งผลให้ปวดเข่าได้
- อุบัติเหตุ การเล่นกีฬาที่มีการกระแทกสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อเข่า
วิธีป้องกัน ข้อเข่าเสื่อม
- ควบคุมน้ำหนัก น้ำหนักที่มากเกินไปทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมาก
- หลีกเลี่ยงการใช้งานเข่าในท่าที่งอเกิน 90 องศา เช่น การนั่งยอง ๆ นั่งกับพื้น การนั่งในลักษณะนี้เป็นการเพิ่มแรงดันในเข่า ทําให้กระดูกที่ไม่เรียบเข้ามาสีกัน แล้วกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้
- ออกกําลังกายกล้ามเนื้อรอบเข่า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าขา ช่วยลดอาการปวดได้
- ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณเข่า หรือเล่นกีฬาที่มีการกระแทกสูง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากการล้มเข่าบิดจนโครงสร้างในข้อเข่าถูกทำลาย ทำให้การรับน้ำหนักในข้อเข่าผิดปกติ กระตุ้นให้เกิดข้อเข่าเสื่อมในระยะยาวได้
เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงวัยมากขึ้น การพบผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมจึงมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีการจำหน่าย “ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน”อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกล่าวอ้างถึงเรื่อง “การแก้ปวด” หรือ “การเพิ่มความสามารถในการใช้งานข้อเข่า”ของผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อกลางเดือนกันยายน 2568 ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแล รักษา และยกระดับมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ออร์โธปิดิกส์ที่ทำการรักษาโรคกระดูกและข้อ ได้ออกประกาศ เรื่อง “การกินคอลลาเจนกับโรคข้อเข่าเสื่อม” ระบุว่า ได้มีการศึกษาวิจัยในไทยเพื่อดูว่า “การกินคอลลาเจน”ช่วยลดอาการปวดข้อเข่าในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้จริงหรือไม่
วิจัยพบกินคอลลาเจนไม่ลดปวด
งานวิจัยนี้ ทำการศึกษาและตีพิมพ์ในประเทศไทยปี 2568 ผู้เข้าร่วม 68 คน อายุ 50-80 ปี ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมปานกลาง เปรียบเทียบการกินคอลลาเจน(Undenatured type II collagen + Hydrolysed collagen) กับยาหลอกที่ผลิตจากแป้งที่ไม่มีผลในการออกฤทธิ์ ใช้ระยะเวลา 12 สัปดาห์
ผู้ป่วยถูกสุ่มเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มทดลองได้รับคอลลาเจนวันละ 1 ครั้ง (Undenatured type II collagen 40 มิลลิกรัม + Hydrolysed collagen 960 มิลลิกรัม) ส่วนอีกกลุ่มได้ยาหลอก
ผลที่ได้ ทั้ง 2 กลุ่ม อาการปวดลดลงและการใช้งานข้อเข่าดีขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผลการศึกษาจากการกินคอลลาเจนไม่ได้ดีกว่ายาหลอกในช่วง 3 เดือน และไม่พบผลข้างเคียงที่อันตราย
ประกาศนี้ ยังระบุข้อควรรู้ว่า งานวิจัยนี้ระยะเวลาเพียง 12 สัปดาห์ ไม่สามารถสรุปถึงผลและความปลอดภัยในระยะยาวกว่านี้ได้ และผลการศึกษาแสดงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของคอลลาเจนในชนิดและปริมาณที่ใช้ในการศึกษานี้เท่านั้น
ประกาศ ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ฯ ฉบับนี้ สรุปว่า การกินคอลลาเจนผสมในการทดลองนี้ ไม่สามารถลดอาการปวดและไม่เพิ่มความสามารถในการใช้งานข้อเข่าในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเมื่อเทียบกับยาหลอก
สเต็มเซลล์ยังไม่ยอมรับมาตรฐาน
ก่อนหน้านี้ ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เรื่อง “การใช้เซลล์ต้นกำเนิดฉีดรักษาข้อเข่าเสื่อม” ซึ่งเป็นบทความแสดงความเห็นจากราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ฯ และ อนุสาขาวิทยาศาสตร์และการวิจัยออร์โธปิดิกส์ ระบุว่า
การใช้เซลล์ต้นกำเนิดฉีดรักษาข้อเข่าเสื่อม (Using stem cells for treatment of knee osteoarthritis)
การใช้เซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) ในการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อม (knee osteoarthritis) ถือเป็นวิธีการที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันเนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดมีศักยภาพในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนในข้อเข่าที่เสียหาย
ในปัจจุบันเริ่มมีงานวิจัยและรายงานทางการแพทย์ที่แสดงถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปในข้อเข่าสำหรับรักษาข้อเสื่อม อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีเซลล์ต้นกำเนิด ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น
1. การขาดข้อมูลทางคลินิกที่ชัดเจน โดยงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาเข่าเสื่อมยังคงอยู่ในช่วงของการทดลองและยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่มีคุณภาพในประเทศไทยดังนั้นจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าการรักษาจะได้ผลดีเสมอไปในระยะยาว
2. ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วย ที่สำคัญยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงถึงความคุ้มค่าในการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการเบิกจ่ายได้และอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูง
3. ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าการใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากร่างกายของผู้ป่วยเองจะลดความเสี่ยงเรื่องการแพ้หรือปฏิกิริยาต่อต้าน แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่เกิดจากการติดเชื้อ อักเสบ หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ และหากใช้เซลล์จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ของตัวผู้ป่วยเอง อาจเกิดปัญหาการต่อต้านหรือติดเชื้อไม่พึงประสงค์ขึ้นได้
4. ข้อจำกัดทางกฎหมายและจริยธรรมในประเทศไทย ถึงแม้ว่าแพทย์สามารถทำวิจัยหรือการทดลองการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาได้ในโรงเรียนแพทย์และสถาบันทางศึกษาบางแห่ง แต่ยังขาดแหล่งผลิตเซลล์ต้นกำเนิดจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองโดยรัฐ
5. การตอบสนองของผู้ป่วยที่แตกต่างกัน เป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากการตอบสนองต่อการรักษาโดยเซลล์ต้นกำเนิดนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับ อายุ สุขภาพโดยรวม และระดับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อม ซึ่งต้องมีการประเมินการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ถึงแม้ว่าการใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาเข่าเสื่อมถือเป็นความก้าวหน้าที่มีศักยภาพและมีผลดีในการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อประเมินประสิทธิภาพในระยะยาว ความปลอดภัย และการควบคุมมาตรฐานที่เหมาะสม
ดังนั้น ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย จึงมีข้อแนะนำถึงการใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาข้อเข่าเสื่อมว่า การรักษาดังกล่าวยังอยู่ในระยะการทดลองวิจัย ยังไม่ได้รับการยอมรับมาใช้ทางการรักษาที่เป็นมาตรฐาน
อีกทั้ง การรักษาดังกล่าวยังมิได้มีการรับรองการใช้งานเพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยแพทยสภา การรักษาดังกล่าวจำเป็นต้องมีงานวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัยในระยะยาว และมาตรฐานการผลิตซึ่งเป็นที่ยอมรับจากภาครัฐ หรือสถาบันสากลที่ได้รับการรับรอง ก่อนที่จะนำไปใช้ในการรักษาข้อเข่าเสื่อมในผู้ป่วยโดยทั่วไปต่อไป
อ้างอิง : ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ,
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล







