แนวคิดใหม่ป้องกัน-รักษาโรคมะเร็ง | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

เราเข้าใจว่า การเป็นโรคมะเร็งนั้นเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ของเรากลายพันธุ์ (mutate) คือแปลงโฉมเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งเป็นเซลล์อมตะที่แบ่งตัวเร็วมากและกระจายตัวไปสู่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย
จนกระทั่งทำให้เราเสียชีวิต ดังนั้น แนวทางในการลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งคือ การหมั่นตรวจร่างกายเพื่อให้พบมะเร็งเร็วที่สุด (early detection) และเมื่อพบเซลล์มะเร็ง (ที่ยังไม่ได้กระจายไปที่อวัยวะอื่นๆ) ก็จะต้องรีบฆ่ามะเร็งดังกล่าวด้วยการผ่าตัดเอา “เนื้อร้าย” ดังกล่าวออกไป ตามด้วยเคมีบำบัด เป็นต้น
ต่อมา การรักษาโรคมะเร็งได้มีการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งคือ การเพิ่มศักยภาพให้กับระบบภูมิคุ้มกันของตัวเราเองให้สามารถ “มองเห็น” และฆ่าเซลล์มะเร็ง เช่น การรักษามะเร็งโดย CAR-T Cell คือการนำเอาเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ (T-Cell) หรือเซลล์นักฆ่าออกมาดัดแปลง (ในห้องทดลอง)
เพื่อให้สามารถจดจำและทำลายเซลล์มะเร็งได้แม่นยำมากขึ้น แล้วจึงฉีดทีเซลล์ที่ได้รับการ “ฝึกฝนอบรมให้ฆ่าเซลล์มะเร็ง” ดังกล่าวกลับเข้าไปในร่างกาย ซึ่งเป็นแนวทางในการรักษามะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมากเพราะเป็นการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง (personalized medicine) คือประมาณใกล้ 10 ล้านบาท เป็นต้น นอกจากนั้นก็ยังได้มีการพัฒนาทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นเนื้องอก (solid tumor) ที่เรียกว่า Checkpoint Inhibitor คือ การกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
หมายความว่า ในหลายกรณี เซลล์ของภูมิคุ้มกันของเราจะ "มองไม่เห็นและไม่ค่อยแน่ใจ” ว่าเซลล์มะเร็งเป็นอันตราย เพราะยังมี “รูปร่างหน้าตา” ที่ยังคล้ายคลึงกับเซลล์ปกติของร่างกาย แถมเซลล์มะเร็งยังมีกลไก (receptor) ที่บอกให้ทีเซลล์ “ยับยั้งชั่งใจ” และ “ไตร่ตรองตรวจสอบ” ทำให้ทีเซลล์ลังเลที่จะลงมือฆ่าเซลล์มะเร็ง กล่าวคือ เป็นกลไกที่เรียกว่า “checkpoint”
ดังนั้น ยาที่ผลิตขึ้นมาจึงเป็นกลไกที่ไปปิดกลไกยับยั้งชั่งใจดังกล่าว จึงเรียกว่า checkpoint inhibitor ปัจจุบันมีการใช้ checkpoint inhibitor มาใช้รักษาโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
แต่งานวิจัยล่าสุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ที่กำลังทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งและแนวทางการรักษาโรคมะเร็งเปลี่ยนแปลงไป
กล่าวคือ การค้นพบว่า การกลายพันธุ์ของเซลล์ที่เสี่ยงจะนำไปสู่การเป็นมะเร็งนั้นเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เช่น เซลล์ผิวหนังของเรานั้นประมาณ ¼ มีการกลายพันธุ์ (แม้ว่าจะยังเป็นเซลล์ที่ยังเป็นปกติอยู่) และสำหรับคนที่อายุกลางคนหรือมากกว่านั้น ½ ของเซลล์ที่หลอดอาหารมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้น
แม้กระทั่งเซลล์ของลำไส้ ก็พบว่าเกือบ 10% มีการกลายพันธุ์ (ข้อมูลจากบทความใน The Economist 2 ก.ย.2025 เรื่อง “The Scientists are discovering a powerful new way to prevent cancer”)
คำถามที่ตามมาคือ อะไรทำให้เซลล์ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งดังกล่าวไม่กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง ซึ่งงานวิจัยเบื้องต้น (ย้ำว่าเบื้องต้น) พบว่าหากเราส่งเสริมให้เซลล์ที่เป็นปกติขยายตัวได้ดี ก็จะสามารถ “เบียด” เซลล์ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งไม่ให้ขยายตัวและกลายพันธุ์ได้
กล่าวคือ ให้เซลล์ที่เป็นปกติปิดกั้นและจำกัดพื้นที่ของเซลล์ไม่ดีไม่ให้ขยายตัวและเจริญงอกงามนั่นเอง The Economist สรุปว่า “Encouraging these healthy cells to grow could become an effective strategy for stopping cancer” ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวนั้น สามารถพิสูจน์ได้แล้วในการทำการทดลองกับหนูทดลอง
อีกแนวทางหนึ่งคือ การกระตุ้นไม่ให้เซลล์ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งขยายตัว ซึ่งในส่วนนี้ นักวิจัยพบว่ายีนที่ชื่อว่า PIK3CA นั้น หากเกิดกลายพันธุ์ก็จะกระตุ้นให้เซลล์กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ แต่การกินยารักษาเบาหวานคือ Metformin สามารถที่จะยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ที่ยีน PIK3CA กลายพันธุ์ไปแล้วได้ แต่ทั้งนี้เฉพาะเซลล์ที่อยู่ที่หลอดอาหาร (แต่ร่างกายมนุษย์เรานั้นมีเซลล์กว่า 200 ชนิด)
การวิจัยทำนองนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ดังนั้น ในอีกไม่กี่ปีก็อาจจะมี “ข่าวดี” ประเภทนี้ปรากฏขึ้นเป็นประจำ ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีที่เรียกว่า CRISPR หรือการตัด-ต่อยีนนั้น จะทำให้การทดลองยีนประเภทต่างๆ นับหมื่นชนิดสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ร่นเวลาการวิจัยจากหลายปีเป็น 1-2 ปี
อีกงานวิจัยที่เกี่ยวข้องคือ การค้นพบว่า การที่ร่างกายของเราต้องเผชิญกับการอักเสบระดับต่ำแบบเรื้อรัง (low grade chronic inflammation) เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นมะเร็งได้
เช่น การอยู่อาศัยในบริเวณที่อากาศเป็นพิษ จะส่งผลโดยตรงในการทำให้เป็นมะเร็ง และยังส่งผลทางอ้อมโดยการกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิเคราะห์พบว่า ในกรณีดังกล่าวระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งโปรตีนเพื่อกระตุ้นการอักเสบคือ interleukin-1beta และโปรตีนนี้จะมีส่วนกระตุ้นให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นมะเร็ง
ทั้งนี้ ท่านผู้อ่านต้องเข้าใจด้วยนะครับว่า การอักเสบเรื้อรังนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การเป็นโรคอ้วน และการเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง แต่การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดการอักเสบดังกล่าวได้อย่างแน่นอนครับ







