'คัดกรองมะเร็งปอด'ด้วย AI นวัตกรรมสุขภาพทุกคนเข้าถึง

ประเทศไทยยกระดับระบบสาธารณสุขด้วยการนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยคัดกรองมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นจากภาพเอกซเรย์ทรวงอก
KEY
POINTS
- โรคมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสอง ด้วยจำนวนผู้ป่วยรายใหม่สูงถึง 17,222 รายต่อปี หรือคร่าชีวิตคนไทยเฉลี่ยถึงวันละ 40 คน
- การพัฒนาระบบคัดกรองที่ยั่งยืน ต้องไม่ใช่แค่ ‘เพื่อผู้ป่วย’ แต่คือการทำ ‘ร่วมกับผู้ป่วย’
- การใช้ AI ช่วยอ่านผลเอกซเรย์ทรวงอกจึงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่เคยถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ไม่สูบบุหรี่
ประเทศไทยยกระดับระบบสาธารณสุขด้วยการนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยคัดกรองมะเร็งปอดระยะเริ่มต้นจากภาพเอกซเรย์ทรวงอก (AI-assisted chest X-rays) เพื่อเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการวินิจฉัย ลดความเสี่ยงจากการตรวจพลาด และเอื้อต่อการรักษาได้ทันท่วงที
โดยบรรจุในสิทธิการรักษา “บัตรทอง 30 บาท” นำร่องให้บริการในโรงพยาบาลของรัฐ 167 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อการเข้าถึงที่เท่าเทียมและยั่งยืน โดยประเด็นนี้ได้ถูกหยิบยกมาพูดคุยเชิงลึกบนเวที HealthTech Summit ในงาน Techsauce Global Summit 2025 ช่วงเสวนา “Lung Cancer: Breaking Through Limits Together” ซึ่งรวมผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชน บุคลากรทางการแพทย์ และตัวแทนผู้ป่วย
ปัจจุบันโรคมะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งอันดับสอง ด้วยจำนวนผู้ป่วยรายใหม่สูงถึง 17,222 รายต่อปี หรือคร่าชีวิตคนไทยเฉลี่ยถึงวันละ 40 คน แม้มีเทคโนโลยีวินิจฉัยที่ทันสมัย แต่ข้อจำกัดด้านต้นทุนและการเข้าถึงยังเป็นอุปสรรค การใช้ AI ในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศจึงนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสตรวจพบเร็ว ลดภาระบุคลากร และยกระดับประสิทธิภาพการรักษาอย่างเป็นรูปธรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทำไม? ผู้หญิงไม่สูบบุหรี่ เสี่ยง‘มะเร็งปอด’ ตรวจคัดกรองก่อนสาย
AIคัดกรอง เพิ่มเข้าถึงวินิจฉัยเร็ว
โรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets กล่าวว่า “เทคโนโลยี AIได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพการคัดกรองมะเร็งปอดและเสริมศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย ด้วยความสามารถในการเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและยกระดับคุณภาพชีวิตในระยะยาว ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ แอสตร้าเซนเนก้าพร้อมสนับสนุนและร่วมทำงานกับทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง เท่าเทียม และยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน ตามเจตนารมณ์ของบริษัท”
แนวทางนี้สอดคล้องกับพันธกิจของแอสตร้าเซนเนก้าในการลดการสูญเสียจากโรคมะเร็งปอดโดยเฉพาะในระยะที่ 1 ที่มีอัตรารอดชีวิตสูงถึง 62% เทียบกับเพียง 4% ในระยะที่ 4 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับภาครัฐ โรงพยาบาล และพันธมิตรด้านเทคโนโลยี เช่น Perceptraและ Qure.AIภายใต้โครงการ Lung Ambition Alliance (LAA)ซึ่งสามารถคัดกรองประชาชนแล้วกว่า 660,000 ราย
“ไม่สูบบุหรี่” กลุ่มเสี่ยงใหม่
นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า ด้าน AI และนวัตกรรมการแพทย์ ระบุว่า แม้ว่าการตรวจด้วยซีทีสแกนปริมาณรังสีต่ำ (LDCT) จะเป็นมาตรฐานการคัดกรองมะเร็งปอดที่แม่นยำ แต่ด้วยต้นทุนที่สูงเกินกว่าจะใช้ได้อย่างแพร่หลายในบริบทของไทย การใช้เอกซเรย์ทรวงอกผสาน AI (CXR-AI) จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ทั้งในแง่ความคุ้มค่า ความพร้อมใช้งานในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ และการผนวกเข้ากับเวิร์กโฟลว์เดิมได้อย่างราบรื่นโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กว่า 60% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดในไทยตรวจพบในระยะที่ 4 และมักไม่ใช่ผู้สูบบุหรี่ แนวโน้มนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการขยายเกณฑ์คัดกรองให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มใหม่ที่มีความเสี่ยง
ทั้งนี้ เพื่อให้ AI ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลแต่ละแห่งควรผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องในระดับท้องถิ่น (Local Validation)โดยอิงจากข้อมูลของตนเอง เพราะประสิทธิภาพของ AIอาจแตกต่างกันไปตามบริบททางคลินิกในแต่ละพื้นที่
ที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างความเชื่อมั่น” ผ่านการดำเนินงานที่มีหลักฐานรองรับ (Evidence-based Implementation)โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดให้มีส่วนร่วมในทุกมิติ ตั้งแต่การให้ความรู้ต่อสาธารณะ การกำหนดแนวปฏิบัติทางคลินิก ระบบส่งต่อ และการจัดตั้งคลินิกเฉพาะทางสำหรับก้อนในปอด ไปจนถึงการเก็บข้อมูลผลลัพธ์และประสบการณ์ของผู้ป่วย เพื่อนำมาพัฒนาระบบให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะท้ายที่สุดแล้วการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อได้รับความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
ออกแบบระบบอย่างยั่งยืน
พญ.ประกายทิพ สุศิลปรัตน์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ผู้ดูแลคุณแม่ผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 และผู้ก่อตั้งเพจ “สู้สิแม่ ก็แค่มะเร็ง” ที่มีผู้ติดตามกว่า 12,000 คน ได้เน้นย้ำว่า “การคัดกรองตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนำมาซึ่งความหวัง แต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อผู้คนเข้าใจถึงความสำคัญ และสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม การใช้ AI ช่วยอ่านผลเอกซเรย์ทรวงอกจึงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่เคยถูกจัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ไม่สูบบุหรี่ คนหนุ่มสาว หรือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และอาจเกี่ยวข้องกับระดับ PM2.5 ที่สูงในหลายพื้นที่ของประเทศ หากต้องการให้เทคโนโลยีนี้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องเริ่มจากการให้ความรู้ทั้งแก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจในศักยภาพและข้อจำกัดของ AI ควบคู่กับการสร้างหลักประกันว่าทุกคนจะเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในสิทธิการรักษาใด”
“การพัฒนาระบบคัดกรองที่ยั่งยืน ต้องไม่ใช่แค่ ‘เพื่อผู้ป่วย’ แต่คือการทำ ‘ร่วมกับผู้ป่วย’ โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1. รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง 2. สร้างหลักประกันในการเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างเท่าเทียมในทุกระบบสิทธิ และ 3. นำเสียงของผู้ป่วยเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบบริการและกำหนดนโยบายอย่างแท้จริง” พญ.ประกายทิพ กล่าว
แผนการบรรจุเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าสู่การคัดกรองโรค นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพระบบสาธารณสุขไทย โดยล่าสุด สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ระหว่างการวางแผนจัดสรรงบประมาณกว่า 55 ล้านบาทในปี 2568 สำหรับโครงการนำร่องเทคโนโลยี AI-CXR ในโรงพยาบาลของรัฐ 167 แห่งทั่วประเทศ เพื่อช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งปอด วัณโรค และโรคปอดอื่นๆ ให้แม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น แนวทางนี้มีเป้าหมายเพื่อขยายโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สูบบุหรี่หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล เข้าถึงการตรวจคัดกรองและการดูแลสุขภาพคุณภาพสูงได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนยังคงต้องร่วมกันเดินหน้ารณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เทคโนโลยีที่แม่นยำนี้เกิดประโยชน์สูงสุดในระดับระบบ และร่วมสร้างอนาคตที่มะเร็งปอดไม่ใช่หนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตหลักอีกต่อไป แต่เป็นโรคที่สามารถป้องกัน คัดกรอง และรักษาได้อย่างทันท่วงที ผ่านระบบสุขภาพที่เข้มแข็งและยั่งยืน
สปสช.หนุนใช้“AI อ่านฟิล์มเอกซเรย์”
หลังจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกับบริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด (Perceptra) พัฒนานวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ และได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ Singapore FDA
ตลอดจนขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนธ.ค. 2566 ซึ่งต่อมาได้ทำข้อเสนอมายังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สนับสนุนการใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ไม่รวมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)
ทั้งนี้ การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายอย่างครอบคลุมภายใน 3 ปี คือ
1. ระยะแรก ปีงบประมาณ 2568 สปสช. สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 167 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 55 ล้านบาทต่อปี
2. ระยะที่สอง ปีงบประมาณ 2569 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 445 แห่ง ใช้งบประมาณจำนวน 135 ล้านบาทต่อปี
3. ระยะที่สาม ปีงบประมาณ 2570 สนับสนุนบริการในโรงพยาบาลจำนวน 887 แห่ง ใช้งบประมาณอีกจำนวน 225 ล้านบาทต่อปี
“บริการนี้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษาโรคที่เป็นปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะวัณโรคและมะเร็งปอด รวมถึงลดภาระงานการอ่านภาพรังสีทรวงอกของแพทย์ ทั้งในโรงพยาบาลขนาดเล็กที่ขาดผู้เชี่ยวชาญ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีภาระงานจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาในประเทศไทยที่มีมาตรฐานสากลด้วย เมื่อมีการใช้ AI มาช่วยคุณหมออ่านภาพ x-ray แล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้สามารถพบและนำผู้ป่วยวัณโรค เข้าสู่กระบวนการรักษาได้เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรค"







