ยิ่งใหญ่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 | อาหารสมอง

ยิ่งใหญ่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 | อาหารสมอง

ท้องฟ้าประกอบด้วยดาวนับล้าน ๆ ดวง บางดวงส่งแสงจรัสจ้า บางดวงแทบไม่มีแสงให้เห็น  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีจึงจะประกอบกันเป็นหมู่มวลดาวประดับท้องฟ้าได้   มีดาวบางดวงที่ไม่เพียงส่องสว่างอย่างเดียว

หากช่วยให้ดาวอื่นอีกมากมายยังคงอยู่ในท้องฟ้าอย่างงดงามอีกด้วย  วันนี้เราจะกล่าวถึงปรากฏการณ์สำคัญยิ่งในทศวรรษที่ 20 ที่ช่วยชีวิตและลดความทุกข์ของผู้คนนับไม่ถ้วนด้วยวิธีการที่ง่ายและถูกอย่างไม่น่าเชื่อ

เรารู้จัก “เกลือแร่” ที่ผสมน้ำดื่มหลังท้องเสียกันมาไม่เกิน 50 ปี  เราถูกบังคับให้กินโดยไม่รู้สาเหตุ และอาจไม่ตระหนักถึงผลเสียหากไม่ดื่ม เรื่องของ “เกลือแร่” มีความเป็นมาอย่างน่าแปลกใจจนเป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานาน

ท้องเสียทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สำคัญจากร่างกาย  มนุษย์รู้จักความไม่สนุกนี้มาอย่างยาวนาน โดยทั่วไปเกิดจากการกินไวรัส แบคทีเรีย อาหารเป็นพิษ ปรสิต ฯลฯ  เข้าไปในร่างกาย

และร้ายแรงกว่านั้นก็คือ รับแบคทีเรียชื่อ Vibrio cholerae  ซึ่งเป็นตัวก่อโรคอหิวาตกโรคเข้าไปในร่างกายโดยฟักตัว 12 ชั่วโมง ถึง 5 วัน  มีอาการถ่ายเป็นของเหลวอย่างหนักเเละอย่างรวดเร็ว อาเจียน ขาเป็นตะคริว ฯลฯ หากไม่รักษาใด ๆ ก็อาจตายได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงจากความดันโลหิตลดลง เกิดภาวะช็อก ไตล้มเหลว ฯลฯ   
 

อหิวาตกโรคเป็นโรคที่น่ากลัวมาก  การระบาดในประวัติศาสตร์เริ่มจากบริเวณเอเชียใต้และระบาดไปทั่วโลก ครั้งแรกที่มีการบันทึกคือ 2360 - 2367  ในเขตเบงกอลของอินเดีย และนำไปสู่การระบาดหนักอีกหลายครั้งทั่วโลกในช่วง  2343 

จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้คนล้มตายไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคนอย่างน่าอนาถ ตัวการร้ายไม่ใช่ตัวแบคทีเรียแต่เป็นอาการสูญเสียน้ำจากร่างกายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

การรักษาพยาบาลก็ใช้การให้น้ำเกลือ (saline) เข้าร่างกายที่เรียกว่า IV (Intravenous Therapy) ซึ่งก็พอใช้ได้แต่มีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องนึ่งเครื่องมือเพื่อฆ่าเชื้อโรค ไม่สามารถให้ได้สะดวกในหลายพื้นที่ เช่นในป่าเขาหรือค่ายอพยพที่มักแออัดจนเป็นสาเหตุของการระบาดเนื่องจากขาดการสาธารณสุขที่ดี   

ในปี 2503 Robert K. Crane นักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกาค้นพบว่าน้ำตาลกลูโคส (glucose) ที่อยู่ในน้ำตาลที่เราบริโภคกันทุกวัน (มีชื่ออีกอย่างว่า sucrose) นั้น  เมื่อผสมกับน้ำเกลือใน วิธีการ IV แล้วจะช่วยส่งผ่านโซเดียมในน้ำเกลือให้ร่างกายดูดซับและช่วยให้ของเหลวคงอยู่ในร่างกายได้ดีขึ้นมาก

การค้นพบนี้สำคัญยิ่งเพราะการรักษาเเบบ IV อย่างที่ผ่านมานอกจากจะแพงและไม่คล่องตัวแล้วยังไม่ค่อยได้ผลเต็มที่อีกด้วย  

Dr.Crane พบว่าเยื่อบุลำไส้เล็กมีโมเลกุลที่เป็นเสมือน “ปั้มน้ำ” ซึ่งจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพหากทั้งโซเดียมและกลูโคสอยู่ด้วยกัน  นี่คือ ความรู้สำคัญในการรักษาอหิวาตกโรค และอาการท้องเสียธรรมดา แต่ช้าก่อนครับ   เรื่องที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ ยังมาไม่ถึง

ในยุค 2503 ที่อหิวาตกโรคระบาดในเมืองดักการ์ (ตอนนั้นอยู่ในประเทศปากีสถานตะวันออก  ปัจจุบันเป็นบังคลาเทศ) และกัลกัตตาในอินเดียนั้น  หมอได้ทำตามที่ค้นพบโดยผสมน้ำตาลกลูโคสเข้าไปในน้ำเกลือที่เข้าสู่ร่างกายคนไข้แบบ IV 

ปรากฏว่าคนไข้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว  อัตราการตายลดลงทันทีอย่างมาก   นับว่าเป็นเรื่องฮือฮาในวงการแพทย์ขณะนั้น   และเชื่อถือกันมากขึ้นเมื่อ David Nalin และ Richard Cash แห่ง John Hopkins University ได้ใช้ในสนามจริงอีกครั้งในปี 2510 - 2511 

เรื่องเข้มข้นยิ่งขึ้นเมื่อเกิดการสู้รบในปากีสถานตะวันออกเพื่อแยกเป็นอิสระจากปากีสถานตะวันตก  

เรื่องมีอยู่ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการตัดแบ่งบางส่วนของดินแดนอินเดียทางเหนือออกเป็นสองส่วนเพื่อให้คนอินเดียที่เป็นมุสลิมไปอยู่ด้วยกัน   ส่วนแรกทางตะวันออกเรียกว่าปากีสถานตะวันออก    อีกส่วนคือปากีสถานตะวันตก

ทั้งสองส่วนห่างกันนับพันกิโลเมตรเเต่ก็รวมกันเป็นประเทศปากีสถาน  ต่อมาฝั่งตะวันออกต้องการอิสรภาพจึงสู้รบกันจนมีคนอพยพเข้าไปอยู่ในค่ายอย่างแออัดจนเกิดอหิวาตกโรคระบาดในหลายค่ายในปี 2514  เเละในที่สุดก็กลายเป็นประเทศบังคลาเทศในปัจจุบัน

ในเวลานั้นมีหมอหนุ่มชาวอินเดียคนหนึ่งชื่อ Dilip Mahalanabis ทำงานที่ศูนย์การแพทย์ของ John Hopkins University ในกัลกัตตาเพื่อต่อสู้กับอหิวาตกโรค เขาตระหนักถึงความสำเร็จในการรักษาแบบใหม่ แต่คนไข้ก็มีมากและตายเป็นใบไม้ร่วง เพราะขาดเครื่องมือในการฉีดน้ำเกลือผสมน้ำตาลกลูโคสเข้าเส้นแบบ IV  

ขาจึงตัดสินใจระดมอาสาสมัครผสมน้ำเกลือกับน้ำตาลปกติ และให้คนไข้กินแทนฉีดเข้าเส้น ปรากฏว่าได้ผลดีเหมือน IV   อัตราการตายลดจากกว่า 30%  เหลือต่ำกว่า 1%  

องค์การอนามัยโลก และวงการแพทย์ตื่นเต้นมากเพราะมันแสนง่ายในการรักษาทุกหนแห่ง ใครก็รักษาตัวเองได้ในยามฉุกเฉิน เพียงผสมน้ำสุกกับเกลือและน้ำตาลเข้าด้วยกัน (น้ำ 1 ลิตร  เกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาล 6 ช้อนชา) ดื่มหลังท้องเสีย ไม่ว่าจะท้องเสียธรรมดาหรือเป็นอหิวาตกโรคก็ตาม  ร่างกายก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว

วิธีการนี้เรียกว่า ORT (Oral Rehydration Therary)  ปัจจุบันเป็นวิธีรักษาหลักของชาวโลกไปแล้ว   มันง่าย และถูกจนอาการท้องเสียเป็นเรื่องไม่น่ากลัวอีกต่อไป

นิตยสาร Lancet  อันทรงพลังเรียก ORT ว่า “เป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20”

เหตุที่เราต้องกิน “เกลือแร่” ที่เป็นซองผสมน้ำหลังจากท้องเสียก็เพราะในซองมีเกลือแร่ที่เรียกว่า electrolytes อันประกอบด้วย โซเดียม (สนับสนุนเลือดและเนื้อเยื่อและรักษาระดับความดันโลหิต)  โปแตสเซียม (สำคัญต่อกล้ามเนื้อโดยเฉพาะการทำงานของหัวใจ) 

คลอไรด์ (ช่วยความสมดุลของเหลวในร่างกายโดยทำงานร่วมกับโซเดียม)  เเละไบคาบอเนตช่วยลดความเป็นกรดของโลหิตในยามสูญเสียน้ำจากร่างกาย   

คนท้องเสียเล็กน้อยอาจไม่ต้องกิน แต่คนที่ถ่ายเหลวมากในภาวะรุนแรงไม่ว่าจะเป็นท้องเสียปกติหรืออหิวาตกโรคก็ตาม  หากขาดแร่ธาตุเหล่านี้อาจเกิดภาวะช็อกได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ผู้สูงอายุ และผู้อ่อนแอ   การดื่มน้ำผสมเกลือแร่ดังกล่าวจะทดแทนทั้งน้ำและ electrolytes ที่ร่างกายสูญเสียไป

เชื่อว่า ORT ได้ช่วยชีวิตผู้คนโดยเฉพาะเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ (ดวงดาวที่ยังไม่จรัสแสง) ถึง 50-70 ล้านคน นับตั้งแต่เริ่มใช้มาจนถึงปัจจุบัน และไม่รู้อีกมากเท่าใดในอนาคตด้วยการรักษาที่แสนง่าย  ถูกและรักษาเองได้  

จะมีโรคใดที่เราประสบกันทุกวันซึ่งมีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและทุกสถานะทางเศรษฐกิจสามารถเข้าถึงได้  แม้เเต่โรคอกหักยังไม่มีวิธีรักษาที่สู้ได้เลย.