สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ ‘กินเค็ม’ | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ ‘กินเค็ม’ | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ผศ.นพ.คณิน ธรรมาวรานุคุปต์ อายุรแพทย์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เตือนเรื่องโรคไตเรื้อรังว่า เป็นปัญหาสาธารณสุขทั้งประเทศไทยและทั่วโลก

ความชุกของผู้ป่วยโรคไตในไทยมีกว่า 17% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุส่วนใหญ่คือ เบาหวานและความดัน รองลงมาคือ นิ่วในไต ภาวะไตอักเสบ รวมถึงกรรมพันธุ์ไต

ทั้งนี้ โรคไตมี 2 แบบ คือ แบบไตเสื่อมเฉียบพลัน และแบบไตเสื่อมเรื้อรัง “ไตเรื้อรัง” คือ การทำงานไตเสื่อมลงน้อยกว่า 60% ยาวนานเกิน 3 เดือน ซึ่ง ผศ.นพ.คณิน บอกว่า “หากค่าการทำงานของไตเสื่อมลงแล้ว จะไม่สามารถฟื้นให้กลับมาดีขึ้น แต่สามารถชะลอไม่ให้เสื่อมเร็วลงไปอีกได้ เช่น ผู้ป่วยค่าการทำงานไตอยู่ที่ 65% หากไม่ทำอะไรผ่านระยะเวลาหนึ่งอาจลดลงมาเร็วเหลือ 50% แต่หากรู้เร็วปฏิบัติตัวถูกต้อง อาจลดลงเหลือ 62% ได้” 

กลุ่มเสี่ยงของการเป็นโรคไต คือ 1. อายุมากกว่า 60 ปี 2.กลุ่มโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเกาต์ โรคนิ่วในไต เป็นต้น 3.กลุ่มมีประวัติสูบบุหรี่ (มีผลทำให้เส้นเลือดไตแย่ลง) 4.กลุ่มกินยาสมุนไพร ยาจีน หรือยาแก้ปวดแก้อักเสบเยอะๆ ดังนั้นจึงควรตรวจคัดกรองไตเป็นช่วงๆ

เมื่อไปดูสถิติโรคไตเรื้อรังของสหรัฐอเมริกา ผมพบข้อมูลช่วงปี 2560-2563 ซึ่งบ่งชี้ว่า สาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังนั้น 38% น่าจะสืบเนื่องมาจากการเป็นโรคเบาหวาน, 22% น่าจะสืบเนื่องมาจากการมีความดันโลหิตสูง, 17% น่าจะสืบเนื่องมาจากการเป็นโรคอ้วน (obesity)

ทั้งนี้ ได้มีการประเมินว่า สาเหตุหลักของไตวายระยะสุดท้ายเกิดจากการเป็นโรคเบาหวาน 45-47% ความดันโลหิตสูง 29-30%

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรัง ดังนั้น หากเราต้องการจะหลีกเลี่ยงการเป็นโรคไต ก็จะต้องให้ความสำคัญในขั้นแรก กับการหลีกเลี่ยงการเป็นโรคทั้งสองให้ได้

ผมสรุปว่า การกินหวานจนกระทั่งเป็นโรคเบาหวานและ/หรือทำให้เป็นโรคอ้วน น่าจะเป็นอันตรายกับไต ได้มากกว่าการกินเค็มเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญ อย่างมากกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งการวัดน้ำตาลแบบอดอาหาร (fasting glucose) และการวัดน้ำตาลสะสม (HbA1C) ตอนที่เราไปตรวจเลือดประจำปีนั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะยอมจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อให้วัดน้ำตาลสะสมในเลือดด้วย

อีกปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นโรคไตคือ ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ นั้น ผมจะถูกสั่งสอนมาว่า อย่ากินเค็มเพราะจะเป็นโรคไต ซึ่งทำให้ผมเข้าใจมานานหลายปีว่า การดูแลไตคือ การไม่กินเค็มเป็นหลัก แต่ข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่า การไม่กินเค็มนั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต แต่ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากในการดำเนินชีวิตที่ทำให้ความดันโลหิตตัวสูงดังต่อไปนี้

1.โรคอ้วน ซึ่งทำให้ไตต้องกรองเลือดให้กับร่างกายที่ใหญ่ขึ้น ไขมันส่วนเกินกดทับโครงสร้างไต เซลล์ไขมันผลิตสารที่ทำลายเซลล์ไตโดยตรง

2.การไม่ออกกำลังกาย (ร่างกายไม่ฟิต) ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันในหลอดเลือดแดงเพิ่มขึ้น

3.การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

4.การสูบบุหรี่ กระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวและมีสารที่ทำลายผนังหลอดเลือดแดง

5.การเกิดความเครียดเรื้อรังก็ย่อมจะทำให้ความดันฯอยู่ที่ระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

6.การนอนหลับที่ไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ

7.การมีไขมันในเลือดที่ระดับสูง ย่อมทำให้เส้นเลือดซึ่งมีจำนวนมากในไตต้องเสียหายไปด้วย

สาเหตุโรคไต ไม่ใช่แค่ ‘กินเค็ม’ | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ และจะทำให้ความดันสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ อายุที่เพิ่มขึ้น ตรงนี้ข้อมูลที่สหรัฐพบความสัมพันธ์กันทางสถิติที่สูงมาก (0.6-0.9) ระหว่างอายุกับความดันโลหิต ข้อมูลในตารางที่ 2 ดูแล้วน่าเป็นห่วงมากสำหรับพวกเราที่เป็นผู้สูงอายุ กล่าวคือ น้อยคนที่อายุเกินกว่า 60 จะมีความดันโลหิตที่เป็นปกติ (ไม่เกิน 120-25/75-80) 

ดังนั้น เราจึงควรปรับการดำเนินชีวิตและดูแลความดันโลหิตของเราอย่างใกล้ชิด เพราะความดันโลหิตนั้น นอกจากเป็นสาเหตุสำคัญของการทำให้เป็นโรคไตแล้ว เราก็ทราบดีว่า ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (heart attack) และภาวะหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก (stroke) อีกด้วย

สำหรับผมนั้น การตอบโจทย์สุขภาพที่ดีที่สุดคือ การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน วันละประมาณหนึ่งชั่วโมง หลายคนอาจจะบ่นว่า หาเวลาออกกำลังกายได้ยาก แต่ขอให้บอกกับตัวเองว่า หากมีเวลากินอาหารนานเท่าไร ก็ต้องขอให้มีเวลาออกกำลังกายเท่าเทียมกันทุกๆ วัน ผมมั่นใจว่า หากทำได้เช่นนั้น สุขภาพของท่านผู้อ่านจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอให้ลองทำดูครับ ประสบการณ์ของผมนั้น ทำให้สุขภาพของผมดีขึ้นเกินคาดครับ