ภัยคุกคามผู้หญิง! 'เนื้องอกมดลูก' อาการเตือนที่ไม่อยากให้ละเลย

"มดลูก" ถือเป็นแหล่งกำเนิดฮอร์โมนไดเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกความเป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการตั้งครรภ์
KEY
POINTS
- เนื้องอกมดลูกมีทั้งเนื้องอกที่ไม่ใช่เนื้อร้ายและชนิดที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง แต่โดยส่วนใหญ่มากกว่า 80% เป็นเพียงเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ใช่เนื้อร้าย
- กลุ่มเสี่ยงอันดับต้นๆ ของการเป็น “เนื้องอกมดลูก” ได้แก่ กลุ่ม “Working Woman” ที่ยังมีประจำเดือนอยู่ และยังไม่เคยมีลูก
- โรคเนื้องอกมดลูกจะฟังดูไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยให้ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกายซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
"มดลูก" ถือเป็นแหล่งกำเนิดฮอร์โมนไดเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งบอกความเป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าสำคัญมากที่สุดสำหรับผู้หญิง ดังนั้น มดลูกจึงเป็นอวัยวะที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุด ซึ่งผู้หญิงทุกคนไม่ควรมองข้าม
เนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri หรือ Uterine Fibroid) อาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งสามารถพบได้ 1 ใน 3 ของวัยเจริญพันธุ์ และสามารถพบได้ถึงร้อยละ 25 ในผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป แม้ว่าเนื้องอกในมดลูกมีโอกาสน้อยมากที่จะเป็นมะเร็ง แต่เมื่อเป็นแล้วก็สร้างความกังวลใจให้เราไม่น้อย โดยเนื้องอกมดลูกเกิดจากอะไร มีอาการเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเนื้องอกมดลูกได้ แต่พบว่าการเกิดขึ้นของเนื้องอก มีความสัมพันธ์กันกับระดับฮอร์โมนไดเอสโตรเจน ซึ่งมีมากในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 20-50 ปี โดยมีส่วนในการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกมีการเจริญเติบโตมากขึ้นจนผิดปกติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ห้ามกินอะไร? เมื่อเป็น 'เนื้องอกมดลูก' ความเสี่ยงทำให้อาการป่วยแย่ลง
เนื้องอกมดลูกมีกี่ชนิด เกิดในตำแหน่งใดบ้าง?
เนื้องอกมดลูกมีทั้งเนื้องอกที่ไม่ใช่เนื้อร้ายและชนิดที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง แต่โดยส่วนใหญ่มากกว่า 80% เนื้องอกที่พบในมดลูกมักพบว่าเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ใช่เนื้อร้ายเท่านั้น ลักษณะของเนื้องอกในมดลูกเรียกตามตำแหน่งที่เกิดขึ้น ดังนี้
ตำแหน่งเนื้องงอกมดลูก แบ่งคร่าวๆ 5 ตำแหน่ง ได้ คือ
- อยู่นอกมดลูก
- กล้ามเนื้อมดลูก ภายในโพรงมดลูก
- อยู่ที่ปากมดลูก ภายในมดลูก
- ข้างในมดลูก (ตำแหน่งที่อันตรายที่สุด)
- เนื้องอกนอกมดลูก (อันตรายน้อยสุด)
พล.ร.ต.นพ. โซ่สกุล บุณยะวิโรจ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งและการผ่าตัดเนื้องอกทางนรีเวช โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้ อธิบายว่า ก้อนเนื้องอกในมดลูกของผู้หญิงเรานั้น สามารถพบได้ในทุกที่ของมดลูก และมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันตามตำแหน่งที่พบ ดังนี้
- เนื้องอกที่กล้ามเนื้อ (Intramural fibroid)
เกิดจากเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ทำให้เกิดเนื้องอกขนาดต่างๆ ในลักษณะที่ฝังตัวอยู่ภายในกล้ามเนื้อมดลูก เนื้องอกชนิดนี้พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาเนื้องอกทั้งหมด
- เนื้องอกที่ผิวด้านนอกมดลูก (Subserosal fibroid)
คือเนื้องอกที่ตำแหน่งก้อนเนื้องอกโตขึ้นและดันออกมาที่ผิวด้านนอกของมดลูก
- เนื้องอกที่โพรงมดลูก (Submucosal fibroid)
คือเนื้องอกที่ตำแหน่งก้อนเนื้องอกโตขึ้นและดันเข้ามาในโพรงมดลูก
- เนื้องอกมดลูกชนิดมีก้านยื่น
โดยตำแหน่งก้อนเนื้องอกซึ่งโตขึ้นอาจดันพ้นออกมาที่ผิวด้านนอกของมดลูก หรืออาจดันเข้ามาในโพรงมดลูก ตัวก้อนเนื้องอกจะยึดติดกับมดลูกด้วยก้านเล็กๆ (Intracavitary fibroid)
อาการเนื้องอกมดลูกที่ต้องรู้
สำหรับในช่วงแรกมักไม่มีอาการหรือสัญญาณเตือนให้ทราบ แต่มักพบเจอได้จากการตรวจภายในผ่านการตรวจสุขภาพประจำปี และจะเริ่มพบอาการเมื่อก้อนเนื้องอกนั้นมีขนาดใหญ่มากขึ้นแล้ว โดยอาการมีดังนี้
1. ประจำเดือนมาผิดปกติ
มักพบว่ามีประจำเดือนมามากผิดปกติ ประจำเดือนมานาน มาแบบกะปริดกะปรอย มาบ่อยผิดปกติ รวมถึงมีลิ่มเลือด หรือเป็นก้อนเลือดปนมาจนทำให้เกิดภาวะซีดได้ โดยอาการเหล่านี้นับว่าเป็นสัญญาณเตือนและอาการบ่งชี้แรกๆ สำหรับความผิดปกติของเนื้องอกมดลูก
2. ปวดท้องน้อย
อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดท้องบริเวณอุ้งเชิงกราน ปวดหน่วงๆ คล้ายกับปวดท้องประจำเดือนแต่ไม่ได้เป็นประจำเดือน อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของขนาดของก้อนเนื้องอก และการกดเบียดอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกรานได้
3. ท้องผูก
บางรายอาจพบว่าตัวเองมีอาการปวดหน่วงที่ทวาร ขับถ่ายลำบาก ท้องผูกเป็นประจำ อุจจาระลำเล็กลง เนื่องจากเนื้องอกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นไปกดทับบริเวณลำไส้ตรง หรือบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่ต่อกับทวารหนัก ทำให้เกิดปัญหาในการขับถ่ายได้
4. ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะลำบาก
เนื่องจากก้อนเนื้อที่ใหญ่ขึ้นอาจไปกดทับหรือเบียดกับกระเพาะปัสสาวะได้ ซึ่งในรายที่ก้อนเนื้ออยู่ด้านหน้าของกระเพาะปัสสาวะจะทำให้มีอาการปวดปัสสาวะบ่อย หรือในรายที่เนื้องอกอยู่ด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะก็อาจทำให้ปัสสาวะลำบากมากขึ้นได้
5. คลำเจอก้อนที่ท้องน้อย
ในรายที่ก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือมีจำนวนก้อนเนื้องอกมากขึ้น ก็อาจจะคลำพบก้อนเนื้อที่บริเวณท้องน้อย รวมถึงอาจสังเกตได้ว่าท้องน้อยโตขึ้น แม้ไม่ได้รับประทานอาหารจำนวนมากได้
นอกจากนี้อาจมาด้วยเรื่องของภาวะมีบุตรยากหรือแท้งบุตรได้ เพราะเนื้องอกขวางกั้นการฝังตัวของตัวอ่อนได้เช่นกัน
ใครมีโอกาสเป็นเนื้องอกมดลูกได้บ้าง?
กลุ่มเสี่ยงอันดับต้นๆ ของการเป็น “เนื้องอกมดลูก” ได้แก่ กลุ่ม “Working Woman” ที่ยังมีประจำเดือนอยู่ และยังไม่เคยมีลูก ในขณะที่ผู้หญิงในช่วงวัยหมดฮอร์โมน วัยทอง หรือ หมดประจำเดือน จะมีแนวโน้มพบการเป็นเนื้องอกในมดลูกได้น้อยกว่า เนื่องจากระดับของฮอร์โมนไดเอสโตรเจนลดลง จึงทำให้เนื้องอกไม่เจริญเติบโต ฝ่อ และสลายตายไปในที่สุด
เนื้องอกมดลูกถือเป็นภัยเงียบที่จ้องคุกคามโดยที่เราไม่ค่อยรู้ตัว เพราะกว่า 50% ของผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว เนื่องจากโรคนี้เมื่อเป็นแล้วจะไม่แสดงอาการผิดปกติ หรือ สัญญาณเตือนใดๆ ให้เห็น ซึ่งกว่าจะมารู้ตัวอีกที ก็เมื่อเข้ารับการตรวจภายใน หรือตรวจสุขภาพอย่างละเอียดประจำปีเท่านั้น การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ จึงสำคัญ เพราะจะมีส่วนช่วยให้ผู้หญิงทุกคนใส่ใจและรู้เท่าทันเนื้องอกมดลูกได้
ถึงแม้เนื้องอกจะไม่ใช่หนึ่งใน 32 อวัยวะของร่างกาย แต่ก็อย่าเพิ่งรีบวิตกไป อันดับแรกเราจำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเนื้องอกมีอันตรายกับชีวิตเราอย่างไร ซึ่งสิ่งที่ควรรู้คือ เนื้องอก มี 2 แบบ ได้แก่
- เนื้องอกธรรมดา
- เนื้องอกที่เป็นมะเร็ง
ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นแบบที่หนึ่ง ซึ่งถือว่าค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากก้อนเนื้องอกธรรมดาจะ มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้เพียงแค่ 1% เท่านั้น ทำให้อย่างน้อยเราก็สบายใจได้ว่าก้อนที่มีอยู่จะไม่ทำให้เราต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดเนื้องอกมดลูก พบได้ทั้งปัจจัยจากวิถีชีวิต อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม มากระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกที่เจริญเติบโต ทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์กล้ามเนื้อโดยเข้าไปเติบโตบริเวณผนังหรือโพรงมดลูก กลายเป็น “เนื้องอกมดลูก” ที่อาจมีขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดถั่ว หรือมีขนาดใหญ่เท่ากับผลแตงโมก็ได้
ความเสี่ยงโรคเนื้องอกมดลูก หนึ่งในนั้นใช่คุณหรือเปล่า
- ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ช่วงอายุ 20-50 ปี
- ผู้หญิงที่มี ฮอร์โมนเพศหญิง (ไดเอสโตรเจน) สูงผิดปกติ
- ผู้หญิงที่มีพันธุกรรมในครอบครัวเป็นมะเร็ง
เนื้องอกมดลูก ป้องกันได้ ด้วยตัวคุณเอง
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมที่มีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักc
- หมั่นสังเกตตัวเองว่ามีอาการผิดปกติอะไรบ้าง
- ตรวจร่างกายประจำปี ตรวจภายใน อัลตราซาวด์
ทั้งนี้ หากสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกมดลูก ควรต้องเข้าสู่ กระบวนการวินิจฉัย ตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด
ผู้หญิงเป็นเนื้องอกมดลูก ตั้งครรภ์ได้หรือไม่
การตั้งครรภ์ขณะที่มีเนื้องอกมดลูก!!! เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสในการผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะทารกอาจอยู่ผิดท่า หรือก้อนเนื้องอกขัดขวางการคลอดทางช่องคลอดได้
เนื้องอกมดลูกมีผลต่อการตั้งครรภ์และการคลอด พบว่าร้อยละ 25 -35 ของสตรีที่มีเนื้องอกมดลูกจะพบร่วมกับภาวะมีบุตรยาก ถ้าตั้งครรภ์อาจเกิดการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้ เนื่องจากการฝังของไข่ที่ได้รับการผสมจากเชื้ออสุจิแล้วกับเยื่อบุมดลูกไม่ดี และก้อนเนื้องอกไปขัดขวางการเจริญเติบโตของมดลูกขณะตั้งครรภ์ หรือทำให้เกิดการบีบตัวอย่างผิดปกติของมดลูก นอกจากนี้ทารกในครรภ์อาจอยู่ในตำแหน่งหรือท่าผิดปกติ เนื้องอกมดลูกอาจไปขัดขวางทางคลอด ทำให้คลอดยากและอาจตกเลือดภายหลังการคลอดได้
แบบไหนที่เรียกว่า “ตรวจภายใน”
สาวๆ หลายคนกังวลกับการตรวจภายใน ทั้งที่เป็นการตรวจวินิจฉัยเนื้องอกมดลูก รวมถึงโรคทางนรีเวชอื่นๆ ที่ดีที่สุด ดังนั้น อย่ากลัวจนเกือบสาย
การตรวจวินิจฉัยเนื้องอกมดลูกทำได้หลายวิธี วิธีที่เป็นที่นิยม ได้แก่ การตรวจภายในโดยสูตินรีแพทย์ และ การตรวจอัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง หรือทางช่องคลอด ซึ่งการทำอัลตราซาวด์นั้น จะช่วยบอกว่า อาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยหรือก้อนที่คลำได้จากการตรวจนั้น เกิดจากเนื้องอกมดลูกจริง ไม่ใช่โรคหรือก้อนที่เกิดจากโรคอื่น
เนื้องอกมดลูกรักษาได้อย่างไร?
พล.ร.ต.นพ. โซ่สกุล บุณยะวิโรจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวช โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้อธิบายถึง วิธีการรักษาเนื้องอกมดลูกว่า ขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอกและความต้องการมีบุตร เป็นสำคัญ ซึ่งทำให้สามารถรักษาได้หลายวิธี ดังนี้
- การรับประทานยาลดปวด เป็นวิธีที่เหมาะสมในการรักษาเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดเล็ก อาจเทียบเท่าผลมะนาวหรือผลส้ม หรือเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากมีความเสี่ยงต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ยาที่ใช้ในการรักษา ได้แก่ ยาลดปริมาณประจำเดือน ยาบรรเทาปวด เป็นต้น
- การผ่าตัดเอาเฉพาะเนื้องอกออกหรือตัดมดลูกออกหมด
- ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดกรีดแผลที่หน้าท้องยาวประมาณ 6-8 นิ้ว อาจจะตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก (Myomectomy) สำหรับผู้ที่ต้องการจะมีบุตรในอนาคต หรืออาจจะตัดมดลูกออก ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของร่างกาย อาการรุนแรงแค่ไหน เช่น ปวดมากและเป็นผู้ที่มีบุตรเพียงพอแล้ว
- ผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งแผลจะมีขนาดเล็ก โดยการเจาะช่องท้องเป็นแผลเล็กๆ ขนาด 0.5 – 1 เซนติเมตรจำนวน 3-4 แผล เป็นรูสำหรับใส่เครื่องมือผ่าตัดและกล้องส่องช่องท้อง (Laparoscope) ซึ่งตัดเชื่อมกับเครื่องรับสัญญาณที่แสดงผลจอภาพทำให้แพทย์มองเห็นอวัยวะภายในช่องท้อง อุ้งเชิงกราน และควบคุมการผ่าตัดภายนอกช่องท้องได้ ตำแหน่งแผลที่เจาะช่องท้องเป็นรู ได้แก่ บริเวณ สะดือ สำหรับใส่กล้องเล็กๆ ส่วนตำแหน่ง กลางท้องน้อย เหนือหัวหน่าว และด้านข้างท้องน้อย สำหรับใส่เครื่องมือผ่าตัด
- การผ่าตัดทางช่องคลอด วิธีนี้จะไม่มีแผลที่หน้าท้อง เจ็บน้อยกว่า ฟื้นตัวได้เร็วกว่า แต่มีข้อจำกัดที่ทำให้การผ่าตัดวิธีนี้ ทำได้ยากขึ้น คือ เนื้องอกขนาดใหญ่ มีพังผืดในอุ้งเชิงกราน และช่องคลอดแคบ
แนวทางการรักษาเนื้องอกมดลูก มีวิธีไหนบ้าง
การรักษาเนื้องอกมดลูกจะขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก โดยมีแนวทางการรักษา ดังนี้
- การตรวจติดตามและใช้ยาเพื่อควบคุมอาการผิดปกติ ในผู้ที่มีอาการไม่มาก หรือเนื้องอกมดลูกที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะนัดติดตามเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงอาการและขนาดเนื้องอกมดลูก และให้รับประทานยาในรายที่พบอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น เพื่อบรรเทาอาการปวด หยุดเลือดที่ออกมากผิดปกติ ลดขนาดและควบคุมไม่ให้ก้อนเนื้องอกใหญ่ขึ้น
- การผ่าตัด พิจารณาผ่าตัดในผู้ป่วยที่เนื้องอกมดลูกมีขนาดใหญ่ หรือมีอาการผิดปกติที่ไม่สามารถรักษาด้วยยาได้ โดยการผ่าตัดสามารถทำได้ทั้งการผ่าตัดส่องกล้องและการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ทั้งนี้วิธีการผ่าตัดอาจต้องพิจารณาตามแต่ละบุคคลดังนี้
- ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก ซึ่งจะพิจารณาผ่าตัดในผู้ป่วยที่ยังไม่มีบุตร หรือยังต้องการที่จะมีบุตรเพิ่ม
- ผ่าตัดมดลูก มักทำในผู้ป่วยรายที่ไม่ต้องการมีบุตร หรือมีบุตรเพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดมดลูกแบบมะเร็ง ใช้รักษาในรายที่ก้อนเนื้องอกมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมาก ซึ่งการผ่าตัดจะทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งนรีเวชวิทยา และจำเป็นต้องมีการประเมินผู้ป่วยอย่างละเอียดก่อนการผ่าตัด
แม้ว่าโรคเนื้องอกมดลูกจะฟังดูไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยให้ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบอื่นๆ ในร่างกายซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ อีกทั้งอาการแรกเริ่มสังเกตได้ยาก รวมถึงหลังการรักษาแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้น ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรเข้ารับการตรวจภายในตามความถี่ที่เหมาะสมกับช่วงอายุเป็นประจำ และหากพบว่าประจำเดือนมามากผิดปกติ ปวดท้องประจำเดือนมาก ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาความผิดปกติดังกล่าว
อ้างอิง:โรงพยาบาลพญาไท ,โรงพยาบาลวิมุติ







