การทำงานยุคใหม่ ‘คน’ เป็นศูนย์กลางมากขึ้น

การทำงานยุคใหม่ ‘คน’ เป็นศูนย์กลางมากขึ้น

ถ้าคนทำงานจากยุคก่อนปี 2020 มีโอกาสนั่งไทม์แมชชีนมาในปัจจุบัน เขาจะพบความเปลี่ยนแปลงในหลายประการที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี ทั้งเรื่องการทำงานแบบไฮบริด

ความสำคัญในเรื่องของสุขภาวะด้านจิตใจในที่ทำงาน และการให้ความสำคัญของการลดภาวะหมดไฟในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องฉาบฉวยที่มาแล้วก็ไป แต่กลายเป็นสิ่งที่องค์กรได้ปรับมาใช้มากขึ้น รวมทั้งมีงานวิจัยมารองรับมากขึ้น

เริ่มจากการทำงานแบบไฮบริดที่มีอาจจะมีข้อสงสัยว่าสู้การเข้าทำงานในออฟฟิศได้จริงหรือไม่ มีงานวิจัยจากทาง Stanford ที่พบว่าการที่พนักงานได้ทำงานที่บ้าน 2 วันต่อสัปดาห์ ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งยังมีเช่นเดิม แต่ก็ส่งผลให้อัตราการลาออกลดลง 33% โดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการทำงานที่บ้านสัปดาห์ละ 2 วัน คือ ผู้หญิง พนักงานระดับปฏิบัติการ และผู้ที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางนาน

อย่างไรก็ดีมีอีกงานวิจัยที่พบว่า การทำงานที่บ้านจะทำให้ใช้เวลากับหน้าจอนานขึ้น ส่งผลต่อปัญหาปวดหลังและปวดคอ อีกทั้งการประชุมผ่านทางออนไลน์บ่อยๆ ก็นำไปสู่อาการเจ็บคอ และคนทำงานจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการใช้เทคโนโลยีที่มากเกินไปและรู้สึกโดดเดี่ยว

อีกการเปลี่ยนแปลงที่พบเห็นมากขึ้นคือ การที่องค์กรให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้น และความปลอดภัยทางจิตวิทยากลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากขึ้นทั้งเพื่อประโยชน์ขององค์กรและตัวพนักงานเอง 

ความปลอดภัยทางจิตวิทยาในที่ทำงาน หมายถึง การที่สมาชิกในทีม หรือพนักงานในองค์กรรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยว่าสามารถแสดงความคิดเห็น ตั้งคำถาม ยอมรับความผิดพลาด หรือเสนอไอเดียใหม่ๆ ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิ ลงโทษ หรือถูกมองในแง่ลบ เป็นการสร้างที่ทำงานให้มีบรรยากาศ ที่ทำให้คนกล้าพูด กล้าคิด กล้าลองผิดลองถูก โดยมั่นใจว่าคนอื่นจะรับฟังและให้เกียรติ ไม่ใช่ตำหนิหรือลงโทษ

งานวิจัยพบว่าเมื่อพนักงานรู้สึกว่าสามารถพูดความคิดได้โดยไม่ถูกโต้แย้งหรือตำหนิ เขาก็จะมีส่วนร่วมในการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และทำงานร่วมกันเป็นทีมมากขึ้น การส่งเสริมความปลอดภัยทางจิตวิทยาไม่ใช่แค่เพื่อสุขภาพจิตของพนักงานเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพการตัดสินใจและการทำงานขององค์กร ผู้นำเองสามารถสร้างสภาพแวดล้อมนี้ได้โดยการเปิดเผยและยอมรับในความเปราะบางหรือผิดพลาด การเชื้อเชิญให้สมาชิกที่เงียบกว่าแสดงความคิดเห็น และให้รางวัลกับการเรียนรู้มากกว่าการลงโทษความผิดพลาด

สุดท้ายคือ เรื่องของการดูแลและป้องกันไม่ให้พนักงานรู้สึก Burnout หรือ หมดไฟ จากที่ภาวะการทำงานในปัจจุบันต้องเปลี่ยนแปลงและปรับอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับพนักงานเองก็ได้รับแรงกดดันทั้งในเรื่องของการทำงานและผลลัพธ์ ทำให้อาการเหนื่อยล้าและหมดไฟเป็นสิ่งที่พบได้มากขึ้น

งานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับภาวะหมดไฟ จะมุ่งเน้นว่าองค์กรจะเข้าไปดูแลและป้องกันพนักงานไม่ให้เกิดภาวะหมดไฟได้อย่างไร และตัวพนักงานเองจะดูแลตนเองเพื่อไม่ให้เกิดภาวะหมดไฟได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น มีงานวิจัยพบว่าถ้าพนักงานมีโอกาสรู้สึกขอบคุณหรือเขียนในสิ่งที่ดีๆ เกี่ยวกับการทำงานก็จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่น ทำให้มีความสุข ลดอาการซึมเศร้าจากที่ทำงานได้ ประกอบกับถ้ามีโค้ชมืออาชีพมาช่วยโค้ชก็จะช่วยลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานของพนักงานมากขึ้น

เมื่อพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการทำงานต่างๆ ข้างต้น สามารถนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า การทำงานในยุคใหม่จะให้ความสำคัญกับการใส่ใจในตัวคนมากขึ้น เน้นคนเป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน ยอมรับว่าพนักงานมีชีวิตนอกงาน และยอมรับว่าเวลาของพนักงานเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด 

ความปลอดภัยทางจิตวิทยาและการเป็นผู้นำที่สนับสนุนให้เกิดความบรรยากาศในการทำงานที่ดี จำเป็นต่อการสร้างความร่วมมือ นวัตกรรมและการเรียนรู้ทั้งของพนักงานและตัวองค์กรเอง และทั้งตัวองค์กรและพนักงานเองก็ต้องพยายามหาแนวทางในการป้องกันภาวะหมดไฟ โดยมีเครื่องมือและกลไกให้คนสามารถดูแลสุขภาวะของตนได้แม้ในสิ่งแวดล้อมที่ท้าทาย