บุหรี่ไฟฟ้า ความล้มเหลวมาตรการภาษีบุหรี่

บุหรี่ไฟฟ้ามีแบบใช้ใบยาสูบ (heated tobacco products: HTPs) และแบบใช้น้ำยา บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ (e-cigarettes) คือแบบใช้น้ำยา พัฒนาโดยเภสัชกรจีนเมื่อปี 2546 ผลิตจำหน่ายปี 2547

ได้รับความสนใจเพราะเชื่อว่าจะช่วยเลิกบุหรี่หรือเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทน มีจำหน่ายในสหรัฐประมาณปี 2549-2550

ช่วงปี 2554 - 2558 บริษัทบุหรี่ข้ามชาติซื้อกิจการและ/หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย การใช้ก็เพิ่มอย่างรวดเร็วในกลุ่มเยาวชนอเมริกันและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว ปี 2559 ก็มีรายงานแพทย์ใหญ่สหรัฐเรื่องบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ชี้ให้เห็นรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ อธิบายกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่ รวมทั้งชี้แนะมาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชน

มีการพบอันตรายเพิ่มขึ้นและแพร่ระบาดมากขึ้นในหลายประเทศ ในการประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกสมัยที่ 7 (COP7) ปลายปีนั้นเองที่ประชุมก็มีมติเชื้อเชิญภาคี “ห้าม” หรือ “จำกัด” การผลิต การนำเข้า การกระจาย การนำเสนอ การขาย และการใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ให้เหมาะกับกฎหมายและเป้าหมายด้านสาธารณสุขของแต่ละประเทศ

ส่วน HTPs นั้น ในการประชุม COP8 ปี 2561 กำหนดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบ จึงอยู่ภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ที่ประชุมก็ได้พิจารณามาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการริเริ่มทดลองใช้ การกล่าวอ้างว่าปลอดภัย ปกป้องนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ในการควบคุมยาสูบจากผลประโยชน์ทางการค้าและผลประโยชน์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมยาสูบตามมาตรา 5.3 WHO FCTC รวมทั้งการ “จำกัด” หรือ “ห้าม” การผลิต การนำเข้า การขาย และการใช้ให้เหมาะกับกฎหมายของประเทศโดยคำนึงถึงการปกป้องสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ

 

ในรายงานการระบาดของยาสูบทั่วโลกที่จัดทำทุก 2 ปี WHO พูดถึงบุหรี่ไฟฟ้าครั้งแรกปี 2562 ถัดมาปี 2564 ก็เน้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะกำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว รวมทั้งชี้แนะมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุม สำหรับประเทศที่กำหนดเป็นสินค้าต้องห้ามก็ชี้แนะให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและป้องกันการแทรกแซงของบริษัทบุหรี่ สรุปคือ จากเดิมที่คิดค้นเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ เมื่อบริษัทบุหรี่ข้ามชาติเข้าซื้อกิจการ ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ก็กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโลก

หันมามองพัฒนาการในบ้านเรา เดือน มิ.ย.2551 ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทยออกข่าวเตือนให้สังคมไทยตระหนักถึงภัยจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีข่าวจะมีผู้นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสั่งการให้กรมควบคุมโรคและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเฝ้าระวัง สองหน่วยงานประชุมร่วมกันและสรุปไม่อนุญาตให้นำเข้า โดยอาศัยกฎหมาย 3 ฉบับควบคุมในเบื้องต้น คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 และ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469

เดือน มี.ค.2553 มีข่าวการใช้บุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่นที่เชียงรายโดยสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต บริษัทบุหรี่อ้างว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ ใช้ทดแทนบุหรี่มวน ไม่เกิดควันบุหรี่มือสอง จะขอนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ แต่กระทรวงสาธารณสุขไม่อนุญาต

ประเทศไทยมีกฎหมายห้ามนำเข้าชัดเจนโดย ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.2557 เรามีกฎหมายดีแต่ไม่เอาจริงในการบังคับใช้ อีกทั้งบริษัทบุหรี่ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดเพื่อผลักดันให้ถูกกฎหมาย จึงมีการลักลอบซื้อขายกันเกลื่อนรวมทั้งในสื่อออนไลน์ด้วย

ประเทศเราได้รับการยอมรับในเวทีโลกเรื่องการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนจากภัยบุหรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับสหรัฐที่ใช้มาตรการทางการค้าบีบบังคับให้เปิดตลาดในช่วงปี 2532-2533 การปล่อยบุหรี่ลดราคาทำให้เด็กเข้าถึงง่ายขึ้น ทั้งยังขัดมาตรา 6 WHO FCTC ที่แนะให้ใช้มาตรการภาษีปรับราคาบุหรี่ให้สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องน่าคิด

ตำราเศรษฐศาสตร์ภาครัฐก็บอกชัดว่ามีบางกรณีที่ “กลไกตลาด” ไม่อาจก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจได้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่อาจก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมโดยรวมได้ สินค้าอันตรายอย่างบุหรี่จะปล่อยให้ลดราคาโดยอ้างว่าธุรกิจต้องตั้งราคาแข่งขันตามกลไกตลาดไม่ได้ รัฐต้องแทรกแซงให้ราคาสูงขึ้นจึงจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม

การปล่อยบุหรี่ลดราคาเมื่อปี 2560 ส่งผลเสียหายใหญ่หลวงจนทุกวันนี้ ตัวอย่างยี่ห้อขายดีที่เคยขายซองละ 72 บาท หลังภาษีปี 2560 ขาย 60 บาท หลังภาษีปี 2564 ขาย 70 บาท คือปรับภาษี 2 ครั้งก็ยังราคาต่ำกว่าเดิม นี่คือบทเรียนที่คนไทยต้องจำเพราะมีคนทำให้เด็กไทยเข้าถึงบุหรี่ได้ง่าย บริษัทบุหรี่ข้ามชาติได้ประโยชน์เต็มๆ ขณะที่รายได้นำส่งรัฐของรัฐวิสาหกิจยาสูบหายวับนับหมื่นล้านบาท

WHO ตระหนักดีถึงเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทบุหรี่ จึงรณรงค์ให้ชาวโลกรับรู้และกำหนดมาตรา 5.3 WHO FCTC ไว้เพื่อป้องกันการแทรกแซง การที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบให้มีส่วนร่วมกำหนดนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นการแทรกแซงหรือไม่ สังคมย่อมทราบได้จากรายงานทุกฉบับที่ออกมาล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์บริษัทบุหรี่

ธนาคารโลกและ WHO ตระหนักดีว่าบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าก่อผลได้ไม่คุ้มเสีย มีประเทศที่กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามเพิ่มขึ้นจาก 32 ประเทศในปี 2563 เป็น 42 ประเทศปี 2567 WHO และองค์การสหประชาชาติสนับสนุนให้ไทยกำหนดเป็นสินค้าต้องห้าม ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์ เครือข่ายภาคประชาสังคม เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพ ครู ผู้ปกครอง และเยาวชนทั่วประเทศก็ประกาศชัด “ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า”

ทุกวันนี้ประเทศเรามีปัญหาสารพัด ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน สังคมสูงอายุ การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ คุณภาพของเด็กและเยาวชน ปัญหายาเสพติด ฯ ในบุหรี่ไฟฟ้าก็มีข่าวพบสารเสพติดด้วย

การปล่อยบุหรี่ลดราคาขัดหลักเศรษฐศาสตร์และขัด WHO FCTC เป็นบทเรียนสำคัญที่กรมสรรพสามิตและสำนักงานเศรษฐกิจการคลังควรมีคำตอบให้สังคม  นักการเมือง/พรรคการเมืองที่คิดดีทำดีเพื่อชาติบ้านเมืองก็ควรตรวจสอบ  การเรียนรู้อดีตจะช่วยให้ไม่ตกเป็นเครื่องมือที่จะนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาทำร้ายเด็กไทย