สร้างชาติด้วยการดูแลเจน Z

เด็กรุ่นใหม่กลายเป็นคนเปราะบาง มีอัตราเกิดโรคซึมเศร้าและการทำร้ายตัวเอง จนถึงการฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงภาวะซึมเศร้าในระดับมหาวิทยาลัย สมองของวัยรุ่นในช่วงกลุ่มนี้ถูกฝึกให้สแกนหาอันตรายตลอดเวลา ผ่านการแจ้งเตือน ผ่านโพสต์ ผ่านการกดไลค์ที่หายไป ผู้เขียนชี้แจงว่า ระบบประสาทถูกทำให้ตื่นตลอดเวลา กลายเป็นโหมดเอาตัวรอดทางสังคมอย่างถาวร วัยรุ่นในยุคนี้ “เลื่อนนิ้ว(บนจอ)ดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา” แยกตัวจนเกิดซึมเศร้า
KEY
POINTS
- กำหนดนโยบายระดับชาติเพื่อลดปัญหาสุขภาพจิตในเยาวชน โดยปรับโครงสร้างการเรียน ลดการบ้าน เพิ่มวิชาทักษะชีวิต และส่งเสริมโรงเรียนปลอดสมาร์ทโฟน
- สร้างพื้นที่สาธารณะและสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัยในชุมชน เพื่อกระตุ้นให้เด็กออกมาเล่นและมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง แทนการอยู่ในโลกเสมือน
- ครอบครัวควรชะลอการให้เด็กเข้าถึงสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียจนกว่าจะอายุ 13-16 ปี เพื่อปกป้องเด็กจากผลกระทบด้านลบ
- พ่อแม่ควรปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดูจากการปกป้องเกินควร มาเป็นการปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูก เผชิญปัญหาด้วยตนเอง และเรียนรู้ความรับผิดชอบ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน
- ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ทั้งระดับชาติ องค์กร และครอบครัว เพื่อสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถรับมือกับความท้าทายได้
วันนี้ตั้งใจจะเขียนถึงการสร้างคนรุ่นใหม่ที่จะช่วยให้ชาติของเรากลับมายิ่งใหญ่ น่าภาคภูมิใจ โดยแอบเล็งคุณสมบัติที่พึงมีไว้ 8-9 อย่าง แต่พอกัลยาณมิตรส่งเนื้อหาย่อของหนังสือเล่มหนึ่งมาให้อ่าน ดิฉันจึงจำเป็นต้องแทรก เรื่องในสัปดาห์นี้ เพื่อทำความรู้จักและเข้าใจสภาวะแวดล้อมและโลกของคนรุ่นใหม่ เมื่อปูพื้นความเข้าใจแล้ว เราจึงจะมาช่วยกันสร้างได้
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “The Anxious Generation” หรือหากแปลแบบไทยๆ ก็คือ “คนรุ่นวิตกจริต (สูง)” เขียนโดย Jonathan Haidt สรุปเนื้อหาโดย หน้าเฟซบุ้ค “Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ”
เนื้อหาหลักคือ เด็กรุ่นใหม่ คือกลุ่มเจนซี (Generation Z) หรือเจนแซด ตามการอ่านแบบเราๆ คือกลุ่มที่เกิดประมาณ ค.ศ. 1997 ถึง 2012 หรืออายุประมาณ 13 ถึง 28 ปีในปัจจุบัน เป็นกลุ่มที่เติบโตในโลกที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์มาก่อน เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการป้อนข้อมูลที่ไม่มีการสิ้นสุด และการแจ้งเตือนที่ไม่มีวันหลับ แถมยังมีภาพ เปรียบเทียบตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเกิดจากการที่สมาร์ทโฟนมีกล้องหน้า ทำให้คนถ่ายรูปตัวเองได้ (และก็มีคนกลุ่มหนึ่งถ่ายไม่หยุด มีพฤติกรรมเหมือน นาซิสซัส เทพหนุ่มที่หลงรักรูปตัวเองในเทพนิยายกรีก) มีโซเชียลมีเดียที่ทำให้ผู้คนโหยหาการกดไลค์ กดแชร์ เพื่อวัดการยอมรับของคนอื่น และเด็กไม่มีพื้นที่จริงนอกบ้านให้เล่น แต่เล่นอยู่ในโลกเสมือนจนเป็นกิจวัตร
เด็กรุ่นใหม่กลายเป็นคนเปราะบาง มีอัตราเกิดโรคซึมเศร้าและการทำร้ายตัวเอง จนถึงการฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงภาวะซึมเศร้าในระดับมหาวิทยาลัย
สมองของวัยรุ่นในช่วงกลุ่มนี้ถูกฝึกให้สแกนหาอันตรายตลอดเวลา ผ่านการแจ้งเตือน ผ่านโพสต์ ผ่านการกดไลค์ที่หายไป ผู้เขียนชี้แจงว่า ระบบประสาทถูกทำให้ตื่นตลอดเวลา กลายเป็นโหมดเอาตัวรอดทางสังคมอย่างถาวร วัยรุ่นในยุคนี้ “เลื่อนนิ้ว(บนจอ)ดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา” แยกตัวจนเกิดซึมเศร้า
พ่อแม่สรุปกันว่า ได้ “สูญเสียลูกไปให้โลกที่เราเข้าไม่ถึง-โลกที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม” เด็กไม่ได้เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกเหมือนเด็กรุ่นก่อนๆ แต่เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ตรงนี้ แต่ใจอยู่ที่อื่น ต้องสแกนอ่านฟีดต่างๆ สร้างแบรนด์ให้ตัวเอง และเปรียบเทียบไม่รู้จบ โลกของเด็กคือหน้าจอ ไม่ได้เล่นแบบเด็กรุ่นก่อนๆที่เรียนรู้ และเผชิญกับความเสี่ยง โดยธรรมชาติผ่านการเล่น และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
พ่อแม่ยังมีส่วนทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยการเลี้ยงดูแบบปกป้องเกินควร ทำให้เด็กค่อยๆสูญเสีย “พื้นที่เสรีเพื่อเติบโต” และเลี้ยงลูกแบบกลัวลูกเจ็บ กลัวลูกแพ้ กลัวสารพัด ผู้เขียนถึงกับเอ่ยสรุปว่า “เด็กไม่ได้เปราะบางเพราะหกล้ม แต่เด็กเปราะบางเพราะไม่ได้หกล้มเลย”
ในวัยเด็ก การเล่น การทะเลาะกับเพื่อน การลองผิดลองถูก เป็นการเรียนรู้ที่จะควบคุมความกลัวและฝึกทักษะสังคมโดยไม่มีผู้ใหญ่แทรกอยู่ตรงกลาง แต่วัยเด็กของกลุ่มนี้หายไป และพอเป็นวัยรุ่นก็ถูกเลี้ยงดูในภาวะครึ่งเด็กครึ่งผู้ใหญ่ ไม่มีภาระให้รับผิดชอบจริงๆแบบเด็กสมัยก่อนที่ต้องช่วยงานพ่อแม่ หรือแม้แต่ต้องช่วยหารายได้
การอยู่หน้าจอมากๆทำให้เด็กขาดทักษะในการเผชิญโลกจริง ขาดกิจกรรมทางกาย และขาดทักษะในการเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น นอกจากนี้ เด็กรุ่นนี้ยังนอนหลับไม่เพียงพอ และการถูกแจ้งเตือน (Notification) แบบไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ภาวะปิดตัว การอดนอนนี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น อารมณ์สั่นคลอนมากขึ้น และเข้าสู่ภาวะอารมณ์แปรปรวน
การดูคลิปสั้นๆ โดยเฉลี่ย 6 วินาที ก็ทำให้สมองคิดไม่ต่อเนื่อง ขาดสมาธิในการเรียนและอ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการสร้างตัวตนของตัวเองผ่านความต่อเนื่องของความคิดก็จะถูกทำลายไปด้วย
ผู้เขียนสรุปในตอนท้ายว่า สิ่งที่คนในรุ่นนี้มีและเราควรให้การสนับสนุน คือ เขาสามารถหลุดพ้นจากวังวนนี้ได้ หากได้รับการสนับสนุนจากเราค่ะ
ดิฉันได้พึ่งพา เอไอ ในการของแนวทางแก้ไขปัญหานี้ เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่จะมาสร้างชาติของเราที่มีความรับผิดชอบและสุขภาพดี เอไอแนะนำแนวทางไว้ดังนี้
ในระดับแนวนโยบายของชาติ ควรตั้งเป้าหมายเพื่อลดความเครียด วิตกกังวล และปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและวัยรุ่น ส่งเสริมพัฒนาแบบองค์รวมทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม และสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีทักษะชีวิต รับผิดชอบและมีความยืดหยุ่น ด้วยการปรับโครงสร้างตารางเรียน ลดจำนวนวิชาและการบ้านในระดับประถมถึงมัธยมต้น และเพิ่มวิชาชีวิต คือ ทักษะอารมณ์ การจัดการความเครียด การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมีวิจารณญาณ และส่งเสริมโรงเรียนปลอดสมาร์ทโฟน หรือมีการอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือแบบจำกัดเวลา ผลักดันกฎหมายให้โซเชียลมีเดียตั้งค่าตั้งต้นให้ปลอดภัยกับเด็กมากขึ้น
ในด้านชุมชน ควรออกแบบพื้นที่สาธารณะและสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย กระตุ้นให้เด็กออกมาเล่นจริง สนับสนุนการจัดโครงการให้เด็กเดินทางและทำกิจกรรมด้วยตนเองในที่ปลอดภัย
ครอบครัวควรชะลอการให้มือถือ/โซเชียลมีเดียก่อนอายุ 13-16 ปี หากต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการติดต่อ ควรให้มือถือแบบไม่เชื่อมอินเตอร์เน็ตกับเด็กประถมและมัธยมต้น
พ่อแม่ควรเลี้ยงดูลูกแบบให้เวลา มากกว่าให้สิ่งของ เลี้ยงแบบให้ลูกลองผิดลองถูก ไม่ควรควบคุมทุกอย่าง สนับสนุนให้เด็กเผชิญปัญหาด้วยตนเอง และให้โอกาสเด็กเติบโตด้วยความรับผิดชอบตนเอง สอนทักษะการจัดการกับอารมณ์ มากกว่าปกป้องลูกจากความผิดหวัง
อยากสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ให้แข็งแรงทั้งกายและใจ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันค่ะ ทั้งระดับชาติ ระดับองค์กร และครอบครัว







