ตึงเครียดชายแดน! แนะสังเกตอารมณ์ เสพข่าวมีสติ ดูแลสุขภาพใจ ลดเครียด

เตือนประชาชนชายแดน รับมือสถานการณ์ตึงเครียด ไทย-กัมพูชา เสพข่าวอย่างมีสติ จากแหล่งน่าเชื่อถือ พร้อมแนะสังเกตอารมณ์ตนเอง หากรู้สึก เครียด นอนไม่หลับ หงุดหงิด ซึมเศร้า ควรพักจากข่าว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากอาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
จากสถานการณ์ความตึงเครียด ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่มีเหตุปะทะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดน รวมถึงชาวโซเซียลมีเดียที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
“ความเครียด" เป็นภาวะที่ร่างกายเกิดการปรับตัวไม่ได้โดยจะเกิดขึ้นหลังจากเจอกับความขัดแย้งหรือมีสิ่งที่มากระทบกับร่างกายและจิตใจ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุของความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การเรียน ปัญหาครอบครัว หรือความรุนแรง เหตุการณ์ที่ไม่ได้เตรียมรับมือ หรือการสูญเสียคนในครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รักอย่างกะทันหัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไทยจ่ายอ่วม! ‘เบาหวาน’ 2 หมื่นล้าน/ปี เร่งคัดกรอง ช่วยลดโรค NCDs
09.00น. สธ.อัปเดต 4 จ.เสียชีวิต-บาดเจ็บ สถานการณ์ไทย-กัมพูชา
ปัจจัยที่ทำให้เกิด ความเครียด
นพ.จาตุรงค์ ศิริเฑียรทอง ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายผ่านบทความว่าความเครียดสามารถแบ่งปัจจัยในการเกิดได้ทั้งหมด 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ คือ
- ปัจจัยภายใน
เกิดจากความรู้สึกภายในร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างการมีโรคประจำตัว เช่น โรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตเวช ผู้ที่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมาเป็นเวลานาน หรือบุคลิกภาพบางอย่างเช่น มีความวิตกกังวลมาก
- ปัจจัยภายนอก
เกิดจากสภาพแวดล้อมรอบตัว แบ่งออกได้ 4 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้
1.การทำงาน
เกิดความกดดันในการทำงานที่มาจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน การแข่งขันในการทำงานที่สูงทั้งในเรื่องเวลาที่เร่งรีบ การเข้ากันไม่ได้กับเพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงแนวทางในการปฏิบัติงานที่ไม่เหมาะกับตัวบุคคล
2.ความสัมพันธ์
ความเครียดจากความสัมพันธ์ในที่นี้เป็นความสัมพันธ์ทั้งคนรัก คู่ชีวิต และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ทอาจจะเป็นปัญหาเล็กๆแต่เรื้อรังกันมานานหรือเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถหาทางออกได้ รวมถึงความกดดันในเรื่องการเงินในครอบครัว ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความแตกแยกของความสัมพันธ์ได้
3.ปัญหาสุขภาพ
ความเครียดที่เกิดจากโรคประจำตัวที่รักษาไม่หายหรือรักษามานานแล้วไม่ดีขึ้น ทำให้เกิดความวิตกกังวลและคิดมาก อาการต่างๆที่รบกวนชีวิตประจำวัน รวมถึงอาการที่นอนไม่หลับ หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ทำให้ร่างกายพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ จนเกิดปัญหาต่อเนื่องได้
4.การเปลี่ยนแปลงในชีวิต
เกิดจากการเจอเหตุการณ์ในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันหรือไม่ทันได้ตั้งตัว เช่น โดนไล่ออกจากงาน คนในครอบครัวเจ็บป่วย คนในครอบครัวหรือคนรักเสียชีวิต ส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้นได้เช่นกัน
ผลกระทบที่เกิดจาก ความเครียด
- ด้านร่างกาย
ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน โรคกระเพาะ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ทำให้เกิดปัญหาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อได้ง่าย
- ด้านจิตใจและอารมณ์
ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน อารมณ์ร้าย หรือมีอาการซึมเศร้า โดยในจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หดหู่ ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย รวมไปถึงความรู้สึกขาดความภูมิใจในตนเอง ขาดสมาธิ
- ด้านพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
เช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย ไม่อยากทำอะไร ขาดความอดทน เบื่อง่าย ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง เริ่มปลีกตัวจากสังคม ไม่ดูแลตัวเอง บางคนอาจใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น โดยหากเกิดอาการเหล่านี้หลายคนจะใช้วิธีระบายความเครียดด้วยการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ใช้ยานอนหลับ หรือใช้สารเสพติด ซึ่งส่งผลให้สุขภาพแย่ลงในระยะยาวได้ด้วยเช่นกัน
ย้ำมีสติในการรับข่าวสาร พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน
ขณะที่ “กรมสุขภาพจิต”กระทรวงสาธารณสุข ขอความร่วมมือประชาชนติดตามข่าวสารจากสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติ และไม่ตื่นตระหนก พร้อมแนะนำให้เลือกแหล่งข้อมูลจากหน่วยงานราชการหรือสื่อที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันความเครียดวิตกกังวล และผลกระทบต่อสุขภาพจิต
นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์ข่าวสารเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือสถานการณ์รุนแรงดังกล่าว มีผลต่อสังคมที่กระทบจิตใจอย่างมาก ประชาชนควรมีสติในการรับข่าวสาร และพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งนี้ขอให้ติดตามข่าวสารสถานการณ์ จากเพจกองทัพบก แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคง เป็นหลัก
โดยงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจสร้างความสับสนภายในประเทศ เพื่อป้องกันความตื่นตระหนก และการกระจายข่าวลวงในสังคม การรับข่าวสารตลอดเวลาโดยไม่กรอง อาจส่งผลให้เกิดความเครียด สับสน วิตกกังวล หรือหมดหวังได้โดยไม่รู้ตัว
"ขอแนะนำให้ประชาชนสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง หากรู้สึกเครียด นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หรือมีอารมณ์เศร้า ควรพักจากการติดตามข่าว และหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต"
ประเมินสุขภาพจิตตนเองผ่าน Mental Health Check
นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือให้ประชาชนช่วยกันสังเกตสภาพจิตใจของคนรอบข้าง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว หากพบว่ามีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น เก็บตัว เงียบผิดปกติ หรือแสดงความรู้สึกสิ้นหวัง ควรให้ความใส่ใจ พูดคุย รับฟัง และแนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาจากหน่วยงานด้านสุขภาพจิต หรือ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ซึ่งให้บริการฟรีตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีบุคลากรคอยให้คำปรึกษาแก่ประชาชนที่เผชิญปัญหาทางอารมณ์และจิตใจในสถานการณ์ที่สังคมมีความคิดเห็นหลากหลาย
ขอให้ทุกคนตระหนักถึงการเคารพความเห็นต่าง และระมัดระวังการแสดงออกที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มคนไทยด้วยกันเอง หรือชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย การหลีกเลี่ยงการยั่วยุ หรือการใช้ถ้อยคำรุนแรงจะช่วยลดความตึงเครียดในสังคม และป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของทุกฝ่าย
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถประเมินสุขภาพจิตตนเองผ่าน Mental Health Check In หรือเว็บไซต์ www.วัดใจ.com รวมถึงสำรวจอารมณ์และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.สุขภาพจิต.com ข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ ได้อย่างมั่นคง และการดูแลจิตใจของตนเองและคนใกล้ตัวเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
วิธีการรักษาอาการที่เกิดจาก ความเครียด
- ปรับเปลี่ยนความคิด
ปล่อยวางในเรื่องที่ต้องเจอ ให้รู้ตัวว่าคิดว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ จากนั้นให้กลับมามีสมาธิอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้าก่อน
- ดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที ทำให้ช่วยบรรเทาอาการเครียดสะสมได้
- หลีกเลี่ยงสารเสพติด
การเสพสิ่งเสพติดในขณะที่เกิดความเครียด อาจจะช่วยบรรเทาได้ช่วงขณะหนึ่ง แต่ส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เช่น เหล้า บุหรี่ หรือสารเสพติดอื่น ๆ เช่น ยาบ้า กัญชา
- นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ ทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเครียดและอารมณ์แจ่มใสขึ้น
- รับประทานอาหารมีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นอกจากจะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยเสริมให้สภาพจิตใจดีขึ้นอีกด้วย
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , กรมสุขภาพจิต







