'อาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา' ใส่บาตรพระสงฆ์อย่างไร?ให้ห่างไกลโรคNCDs

'อาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา' ใส่บาตรพระสงฆ์อย่างไร?ให้ห่างไกลโรคNCDs

ทุกเดือนกรกฎาคมของปี ประเทศไทยจะมีวันหยุดสำคัญทางพระพุทธศาสนา นั่นคือ วันอาสาฬหบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ก.ค.2568

KEY

POINTS

  • ปัจจุบันมีพระสงฆ์อาพาธเข้ารักษาด้วยโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็นจำนวนมาก
  • เคล็ดลับ 4 ทางเลือกผลิตภัณฑ์อาหาร ที่ช่วยให้พุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตรอย่างสบายใจ และพระสงฆ์ห่างไกลโรค NCDs 
  • ทุกมื้ออาหารต้องให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยไม่วางตนเองเป็นเครื่องวัดความอร่อย หรือกลัวว่าพระท่านจะฉันไม่อร่อย เพราะจะไปทำลายสุขภาพพระภิกษุสงฆ์ได้

ทุกเดือนกรกฎาคมของปี ประเทศไทยจะมีวันหยุดสำคัญทางพระพุทธศาสนา นั่นคือ วันอาสาฬหบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ก.ค.2568 และ วันเข้าพรรษา ในวันที่ 11 ก.ค. 2568 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากเป็นวันหยุดยาว พุทธศาสนิกชนมักจะร่วมกิจกรรมทางศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม และเวียนเทียนตามวัดวาอารามทั่วประเทศ

แต่รู้หรือไม่? การทำบุญใส่บาตร ที่ชาวพุทธปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยเน้นความสะดวกสบาย ด้วยการซื้ออาหารปรุงสำเร็จรูป อาจจะเป็นอาหารที่ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้วที่เราอยากจะบุญอุทิศไปให้ชอบกิน หรือเป็นอาหารที่มีชื่อเป็นมงคล บรรดาขนมทองทั้งหาย โดยลืมคิดไปว่าอาหารเหล่านี้ไม่ดีต่อสุขภาพของพระสงฆ์ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'วันเข้าพรรษา 2568' วันหยุดอาสาฬหบูชา พิธีปฏิบัติ เลือกวัด การทำบุญ

'วันอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา 2568' พิกัดจุดทำบุญ 10 จังหวัด 10 ประเพณี

พระสงฆ์ป่วยโรค NCDs ต้นเหตุจากอาหารใส่บาตร

จากสถิติของ โรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ พบว่ามีพระสงฆ์อาพาธเข้ารักษาด้วยโรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง เป็นจำนวนมาก ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ที่มีปัจจัยเสี่ยงมาจากการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม เป็นประจำ 

อาหารที่พุทธศาสนิกชนนำมาใส่บาตรมักเป็นอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารกระป๋อง ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งเครื่องดื่มหลายชนิดอาจมีรสหวานและน้ำตาลสูง ทำให้พระสงฆ์มีโอกาสได้รับปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม มากกว่าปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน โดยในแต่ละวันควรรับประทานพลังงานรวมไม่เกิน 2,000 กิโลแคลอรี น้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม ผู้ชาย (วัยผู้ใหญ่) ไม่ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวเกิน 30 กรัมต่อวัน ผู้หญิง (วัยผู้ใหญ่) ไม่ควรรับประทานไขมันอิ่มตัวเกิน 20 กรัมต่อวัน และโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม

'อาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา' ใส่บาตรพระสงฆ์อย่างไร?ให้ห่างไกลโรคNCDs

4 ทางเลือกผลิตภัณฑ์อาหาร พระห่างไกลโรค

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงขอแนะนำหลักการเลือกผลิตภัณฑ์อาหาร 4 เลือก ที่จะช่วยให้พุทธศาสนิกชนทำบุญตักบาตรอย่างสบายใจ และพระสงฆ์ยังห่างไกลโรค NCDs เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันโลหิตสูงด้วย ดังนี้

1. เลือกผลิตภัณฑ์อาหารโดยสังเกตที่ฉลากหวาน มัน เค็ม หรือฉลากโภชนาการแบบ GDA (Guideline Daily Amounts)เพื่อใช้ในการช่วยตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณพลังงานน้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ไม่มากกว่าปริมาณที่แนะนำให้รับประทานสูงสุดต่อวัน และเพื่อให้พระสงฆ์ได้สามารถทราบปริมาณในการแบ่งบริโภคต่อครั้งอย่างถูกต้อง

2. เลือกผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสัญลักษณ์โภชนาการ ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาแล้วว่ามีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมที่เหมาะสม ลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

3. เลือกที่จะถวายอาหารที่ผ่านกระบวนการตุ๋น ต้ม นึ่ง แทนการทอด และหลีกเลี่ยงอาหาร หวาน มัน เค็ม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

4. เลือกถวายน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มที่หวานน้อย แทนการถวายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง

ดังนั้น เมื่อตั้งใจที่ทำบุญใส่บาตร แล้วก็ควรเลือกถวายอาหารที่ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพของพระสงฆ์ด้วย แล้วควรเลือกอาหารอย่างไร 

โรคที่มากับอาหารใส่บาตร ภัยต่อสุขภาพพระสงฆ์

1. อาหารเค็มจัด : ที่มาโรคความดันโลหิตสูง

โรคนี้เป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ในเวลาต่อมา การบริโภคอาหารสำหรับคนไทยหรือพระภิกษุสงฆ์มักจะชอบรับประทานอาหารที่มีรสจัด ทั้งเปรี้ยว ทั้งเค็ม ทั้งหวาน ซึ่งอะไรก็ตามที่มากเกินไป ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้

เวลาปรุงอาหารถวายพระควรจะคำนึงถึงรสชาติของอาหารที่ไม่เค็มจนเกินไปและควรเพิ่มใยอาหารให้สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าต้องมีธัญพืช ผัก และผลไม้รวมอยู่ด้วย ดังนั้น ทุกมื้ออาหารต้องให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยไม่วางตนเองเป็นเครื่องวัดความอร่อย หรือกลัวว่าพระท่านจะฉันไม่อร่อย เพราะจะไปทำลายสุขภาพของพระภิกษุสงฆ์"

2. อาหารหวานจัด : โรคเบาหวาน

การทานหวานมาก ๆ ทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก ในที่สุดตับอ่อนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้อย่างเพียงพอจึงเกิดเป็นเบาหวาน ข้าวหรือคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายกลายเป็นน้ำตาลเมื่อถูกย่อย เพราะฉะนั้นเวลาใส่บาตรหรือถวายข้าว ควรเป็นข้าวกล้องจะดีที่สุด ไม่ว่าจะสีดำ น้ำตาล หรือสีแดงก็ตาม เพราะว่าข้าวกล้องมีแร่ธาตุ มีวิตามินที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ที่สำคัญมีกากใยสูงกว่าข้าวขาว ช่วยในการย่อยและขับถ่ายได้ดี

อีกทั้ง ควรถวายผลไม้แทนของหวานประเภทเบเกอรี่ ทั้งเค้ก ทั้งพาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีแป้ง น้ำตาล และไขมันสูงทั้งสิ้น หากเป็นขนมไทย ควรถวายในปริมาณน้อย ๆ ถ้วยเล็ก ๆ หากเป็นเบาหวานแล้ว ต้องควบคุมโดยไม่ใส่น้ำตาล ซึ่งสามารถช่วยพระภิกษุสงฆ์ควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดี

3. อาหารมันจัด : โรคไขมันในเลือดสูง

สาเหตุหลักคือ กินของทอด เพราะอาหารทอด ต้องแกล้มกับน้ำจิ้มที่รสจัดจ้าน ทั้งเค็ม ทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยวถึงจะอร่อย จึงบริโภคอาหารทอดเป็นจำนวนมาก ๆ ในการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ควรถวายครบ 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงของทอดที่ใช้น้ำมันมาก ๆ งดโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เช่น หมูสามชั้น หนังไก่ทอด เป็นต้น เลือกใช้วิธีปรุงอาหารอย่างอื่นแทน เช่น การต้ม การนึ่ง การผัด หรือการย่าง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเมื่อเราจะทำบุญใส่บาตรก็เพิ่มความใส่ใจพิถีพิถันในการเลือกสิ่งของที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อพระสงฆ์ สามเณร เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ พืชตระกูลถั่ว พืชผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด อาหารประเภทเนื้อปลา เต้าหู้ เป็นต้น หากเป็นอาหารสำเร็จรูปควรสังเกตวันผลิต วันหมดอายุ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด หวานจัด และมีไขมันสูง เพื่อให้พระสงฆ์ สามเณร มีสุขภาพดีห่างไกลจากโรคต่างๆ และเป็นไปตามเจตนาของการทำบุญอย่างแท้จริงด้วย

อ้างอิง : happy8workplace ,กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค ,หมอพร้อม