ชีวิตผู้สูงวัย: มองไปในอนาคต | ประเทศไทย iCare

ชีวิตผู้สูงวัย: มองไปในอนาคต | ประเทศไทย iCare

ถ้าจะถามว่า คนไทยสนใจเกี่ยวกับชีวิตในอนาคตไหม คำตอบก็คือเรื่องนี้น่าจะอยู่ในความสนใจคนไทย เมื่อดูจากคำถามยอดฮิตที่ชอบถามหมอดูว่าแก่แล้วจะรวยหรือสบายไหม

หรือดูจากการทำบุญเพื่อหวังว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือสบายในชาติหน้า แต่ที่คนไทยยังไม่ค่อยสนใจนักก็คือว่า เมื่อสูงวัยแล้วจะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี มีความสุขได้กี่ปีก่อนเสียชีวิต เนื่องจากในอดีตคนไทยอายุไม่ยืนนัก 

อายุคาดเฉลี่ย (เมื่อแรกเกิด) เมื่อปี 2500 สำหรับผู้ชายเท่ากับ 54 ปี และ 59 ปีสำหรับผู้หญิง แต่ในปี 2567 ตัวเลขนี้ขึ้นเป็น 72 ปี และ 81 ปีตามลำดับ เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 18 ปีสำหรับผู้ชาย และ 22 ปีสำหรับผู้หญิง ในปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว ในปี 2567 คนไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หรือเท่ากับ 13.4 ล้านคน ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 17.3 ล้านคน 

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ในปัจจุบันประเทศไทยคาดว่ามีผู้ป่วย “สมองเสื่อม” ถึงเกือบ 8 แสนคน และในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะเพิ่มเป็น 1 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

กล่าวคือ เป็นหญิงถึง 6 แสนคน หมายความว่าจะมีผู้สูงวัยจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ลดลง ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน มิหนำซ้ำยังอาจเกิดการพลัดหลงออกจากบ้าน ถูกล่อลวงโดยผู้ไม่ประสงค์ดี (ปราโมทย์ ประสาทกุล ศุทธิดา ชวนวัน และกาญจนา เทียนลาย, 2568)

การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงวัยและจำนวนผู้สูงวัยที่สมองเสื่อมมีผลกระทบต่อสังคมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่องบประมาณของรัฐ เนื่องจากสังคมสูงวัยจะมีจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานลดลงไปเรื่อยๆ ประสิทธิภาพในการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ก็จะลดลง ทำให้ภาษีรายได้ของรัฐจะลดลงตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันรายจ่ายของรัฐก็กลับเพิ่มขึ้นมากเพื่อมาดูแลผู้สูงวัย 

 

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ งานวิจัยภายใต้แผนงานคนไทย 4.0 ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ศ. ดร.นพพล วิทย์วรพงศ์ พบว่า คนไทยส่วนใหญ่คาดคะเนอายุที่คาดว่าจะตายของตัวเองน้อยไป 7-8 ปี

มิหนำซ้ำคนไทยส่วนใหญ่ก็มีเงินออมน้อยและไม่เพียงพอที่จะดูแลชีวิตและสุขภาพของตนในวัยชรา ความเจ็บป่วยและความตายจะกลายเป็นภาระของสังคมมากขึ้น สำหรับในแต่ละครอบครัว คนหนุ่มคนสาวก็จะมีภาระในการดูแลคนแก่มากขึ้นทำให้ต้องจัดสรรเงินระหว่างการดูแลผู้สูงวัยกับการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต

ดังนั้น คนไทยต้องมีการเตรียมตัวก่อนเกษียณ ไม่ใช่เกษียณแล้วจึงมาตั้งรับปรับตัว เพื่อไม่ให้เป็นผู้สูงวัยที่เป็นภาระของลูกหลานและสังคม การเตรียมตัวโดยสะสมเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้ตอนแก่และเป็นค่ารักษาพยาบาลจะต้องวางแผนกันตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวมิฉะนั้นจะไม่ทันการณ์

ในปัจจุบันแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนก็ส่งสัญญาณแล้วว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของค่าใช้จ่ายของผู้สูงวัยเมื่อชราลงเรื่อยๆ

นอกจากเรื่องการสะสมเงินแล้ว ปัจจัยสำคัญก็คือต้องดูแลสุขภาพไว้ให้ดีตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ระมัดระวังไม่ให้เกิดโรคที่ไม่ติดต่อ ได้แก่ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง ซึ่งจะนำโรคภัยต่างๆ มาเซาะกร่อนบ่อนทำลายช่วงอายุที่ยังมีสุขภาพดีในอนาคตได้

อีกเทรนด์หนึ่งที่มาพร้อมกับสังคมสูงวัยคือ การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานที่มาจาก “เทคโนโลยีผกผัน” ทำให้บางอุตสาหกรรมและการจ้างงานบางประเภทหายไป เกิดการจ้างงานประเภทใหม่ๆ แทนความต้องการเดิมๆ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนน่าจะเป็นกล้องถ่ายรูปและฟิล์มที่ถูกทดแทนด้วยสมาร์ตโฟน 

 

ดังนั้น คนไทยรุ่นใหม่ คนไทยรุ่นรอเกษียณไม่สามารถที่จะยึดมั่นได้แล้วว่า เราจะเกาะติดอาชีพใดอาชีพหนึ่งตั้งแต่เรียนจบไปจนตลอดชีวิตได้ ความรู้ที่ได้จากมหาวิทยาลัยที่แต่เดิมใช้เวลาเรียน 4 ปีเคยเป็นที่พึ่งได้จนถึงวัยเกษียณ

แต่เดี๋ยวนี้ความรู้ต่างๆ หมดอายุใช้งานเร็วขึ้นมากและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้แรงงานในวัย 40-50 ปีจำเป็นต้องมีความพยายามที่จะแสวงหาความรู้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา วช. จึงได้มีโครงการฝึกอบรมผู้รอเกษียณให้เกิดการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผู้รอวัยเกษียณ หากมีทรัพย์สินเงินทองมากพอสมควรอาจจะหาทางทำธุรกิจใหม่เลย เลือกธุรกิจที่ชอบที่พอจะเลี้ยงตัวได้แทนที่จะต้องพยายามทำงานเพื่อหาเงินดังที่ผ่านมา การทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้สมองได้ใช้งาน ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ยิ่งถ้าเป็นธุรกิจที่ช่วยเหลือสังคม เช่น ธุรกิจหางานให้คนพิการ ธุรกิจที่ให้บริการผู้สูงวัย เช่น โรงเรียนร้องเพลงหรือเต้นลีลาศก็ยิ่งจะทำให้มีเพื่อนมากขึ้น

สำหรับนโยบายสาธารณะนั้น รัฐบาลต้องเริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณ แต่มีการปรับเปลี่ยนระบบให้มีประเภทของงานที่จะจ้างผู้มีอายุเกิน 55 ปีได้ เช่น อาจจะเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 55 ปี หลังจากนั้นก็มีสิทธิได้ทำงานต่อถึง 60 ปี

หากเกินกว่านั้นก็จะต้องผ่านการทดสอบสมรรถนะเมื่ออายุ 60 และ 65 ปี เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตำแหน่งงานที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย มิฉะนั้น เราจะได้ผู้สูงวัยที่อาศัยเส้นสายซึ่งจะกอดตำแหน่งสูงเงินเดือนแพงไปจนถึงอายุ 70 ปี

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ควรจะมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงวัย ซึ่งปัจจุบันบางแห่งก็ทำอยู่แล้วเพราะผู้สูงวัยเป็นผู้ที่เป็นฐานเสียงทางการเมืองสำคัญ แต่ในอนาคตจะต้องมุ่งที่จะสร้างงานให้กับผู้สูงวัยมากขึ้น

โดยสามารถใช้งบประมาณจัดซื้อจัดจ้างผู้สูงวัยมาทำงานบริการสาธารณะที่ไม่หนักเกินไปโดยอาจจะทำเป็นกะ กะละไม่เกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน สร้างเศรษฐกิจสีเงินที่จะนำมาซึ่งรายได้และค่าใช้จ่ายที่วนอยู่ในชุมชน

มหาวิทยาลัยของไทยก็ควรจะเร่งศึกษาหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะมาช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการที่จะต่ออายุการทำงาน เพิ่มพูนทักษะ หรือแม้แต่ในการใช้เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและกิจกรรมนันทนาการ

อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ การทดแทนแรงงานคนหนุ่มสาวมาดูแลผู้ป่วยในวัยชรา ซึ่งผู้ดูแลเหล่านี้ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ รัฐบาลควรพิจารณานโยบายแรงงานต่างชาติอย่างจริงจัง

เป็นไปได้หรือไม่ว่าแรงงานต่างชาติที่มาอยู่ในประเทศไทย เกิดในเมืองไทย ได้เรียนหนังสือไทย มีความประพฤติเรียบร้อยสามารถที่จะได้สัญชาติไทย ส่วนแรงงานที่ไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยก็อาจที่จะสามารถสอบข้อเขียนให้ผ่านวุฒิที่เหมาะสมที่จะเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพต่อไป

ถ้าไม่คิดใหม่ ประเทศไทยก็จะอยู่กับอัตราเพิ่ม GDP ต่ำๆ ต่อไป!