'บลูโซน' คือ 'วิถีชีวิต' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก

'บลูโซน' คือ 'วิถีชีวิต' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “สุขภาพดีที่แท้จริง” กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว และเป็นวิสัยทัศน์ในการผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลก

KEY

POINTS

  • “สุขภาพดี” (wellness) ไม่ใช่การรักษาเมื่อป่วย แต่คือการป้องกันไม่ให้ป่วย โดยมุ่งเน้นที่ “Health Span” (ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี) มากกว่า “Life Span” (อายุขัย)
  • บลูโซนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การย้ายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเอง 
  • เวลเนสฮับ” ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพ และเริ่มสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตนเอง 

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนี้คือแนวคิด “บลูโซน” (Blue Zone) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ผู้คนมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ นี่คือ “Health Care” ที่แท้จริง ที่ไม่ใช่เพียงธุรกิจโรงพยาบาล แต่เน้นการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “Wellness Hub” และ “Medical Hub” รวมถึงการเผยแพร่ “องค์ความรู้ที่ถูกต้อง” จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการก้าวไปสู่เป้าหมายนี้

  • “บลูโซน”หัวใจ“สุขภาพดี”ที่แท้จริง

ผศ. ดร. นพ. พัฒนา เต็งอำนวย ประธานบริษัท เฮลท์เอดูเคชั่น แอนด์ อคาเดมิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด อุปนายก สมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิตและสุขภาพไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า “สุขภาพดี” (wellness) ไม่ใช่การรักษาเมื่อป่วย แต่คือการป้องกันไม่ให้ป่วย โดยมุ่งเน้นที่ “Health Span” (ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี) มากกว่า “Life Span” (อายุขัย) หลักการสำคัญคือสุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่ตัวเรา ไม่ใช่การพึ่งพาแพทย์เพื่อรักษาเมื่อป่วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

คุณก็ทำได้! ถอดรหัสอายุยืนง่ายๆ สไตล์คน Blue Zones 6 เมือง

สิงคโปร์ พื้นที่คนอายุยืนแห่งใหม่ที่ผู้นำประเทศสร้างขึ้น

“บลูโซน”สร้างได้เองที่บ้าน

แนวคิด “บลูโซน” (Blue Zone) จึงเป็นคำตอบที่แท้จริงของเวลเนส เพราะเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนอายุยืนยาวถึง 90-100 ปี ด้วยสุขภาพกายและจิตใจที่แข็งแรง มีความทรงจำที่ดีเยี่ยม ท่ามกลางคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อมที่ดี เคล็ดลับของคนกลุ่มนี้คือการใช้ชีวิตที่ดี โดยปรับเปลี่ยนการกินอาหารธรรมชาติและอาหารท้องถิ่น หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้คนในชุมชน เพื่อนฝูง มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีการรับแดดบ้าง นอนเป็นเวลา เลี่ยงแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ตั้งเป้าหมายในการใช้ชีวิต มีวิถีชีวิตแบบ Slow Life มองโลกในแง่ดี คิดบวกเสมอ และอยู่ในสังคมที่ไม่ Toxic

บลูโซนที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การย้ายถิ่นฐาน แต่อยู่ที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราเอง ทุกคนสามารถสร้าง “บลูโซน” ของตัวเองได้ที่บ้าน ด้วยการทำอาหารกินเอง เลือกวัตถุดิบที่ดี ใช้อุปกรณ์ทำครัวที่ปลอดภัย บริโภคน้ำมันมะกอก และอาหารเสริมอย่างถูกต้อง รวมถึงการลดเวลาการใช้มือถือเพื่อเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและเพื่อนฝูง การที่เรามีผู้ป่วยมากขึ้น แม้จะมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ แสดงให้เห็นว่าแนวคิดด้านสุขภาพที่เรายึดถืออาจผิดพลาด และควรหันมาเน้นการป้องกันและการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายใน

อุปนายก สมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิตและสุขภาพไทย ชี้ว่า การมีสุขภาพที่ดีได้นั้น สามารถเริ่มต้นที่ตัวเรา และตัวเราเป็นหมอที่ดีที่สุดของตัวเองในการป้องกันโรค ตัวอย่าง 6 พื้นที่บลูโซนที่ได้รับการระบุ ได้แก่ โอกินาวา (ญี่ปุ่น), ซาร์ดิเนีย (อิตาลี), อิคาเรีย (กรีซ), โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา), นิโคยา (คอสตาริกา) และสิงคโปร์

\'บลูโซน\' คือ \'วิถีชีวิต\' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก

“เอกชน”ขับเคลื่อนเวลเนสไทยสู่โลก

ในการผลักดันธุรกิจเวลเนสของประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า จำเป็นต้องพึ่งพาบทบาทของภาคเอกชนที่มีทุนและเข้าใจพลวัตของตลาดอย่างแท้จริงในการขับเคลื่อน การลงทุนในธุรกิจเวลเนสต้องเป็นไปอย่างถูกวิธีและมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง โดยต้องตระหนักว่าผู้มาใช้บริการเวลเนสต้องการความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่บรรยากาศแบบโรงพยาบาล นักลงทุนควรพิจารณาทำงานร่วมกับแพทย์ทางเลือก เช่น แพทย์แผนไทย, แพทย์แผนจีน, แพทย์ธรรมชาติบำบัด (Naturopathy) หรือแพทย์กลุ่ม Anti-Aging ที่เข้าใจแนวคิดเวลเนสอย่างลึกซึ้ง

“เวลเนสฮับ ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพ และเริ่มสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตนเอง ภาคเอกชนที่เข้ามาขับเคลื่อนในธุรกิจ Wellness จะเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลกได้ การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนไปจนถึงนักลงทุน และการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนในการนำการเปลี่ยนแปลง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลกได้อย่างแท้จริง โดยยึดหลักการสร้าง “บลูโซน” ในทุกครัวเรือนและทุกชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วย"  ผศ. ดร. นพ. พัฒนา กล่าว

เพื่อตอกย้ำศักยภาพ ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลกได้ บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้จัดงาน “Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025” มหกรรมสุขภาพและความงามขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มิ.ย. 2568 ณ ฮอลล์ 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา “ณรินณ์ทิพ วิริยะบัณฑิตกุล”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า งานนี้จะมีการนำเสนอศักยภาพของธุรกิจสุขภาพและเวลเนสไทย นวัตกรรม บริการ และผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบครบวงจร สะท้อนแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและสนับสนุนเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก โดยมีพื้นที่จัดแสดง 9 โซนไฮไลต์ เช่น Healthcare & Medical Industry Zone, Future Food & Food Supplement Zone, Digital Health Zone, Wellness Zone, และ Jin Wellbeing County ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบเพื่อสังคมผู้สูงวัยคุณภาพ

\'บลูโซน\' คือ \'วิถีชีวิต\' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก

นอกจากนี้ ยังมีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เชื่อมโยงกับนักลงทุนและคู่ค้าจากต่างประเทศ เช่น จีน กัมพูชา อินเดีย และญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการต่อยอดธุรกิจสู่ตลาดโลก งานนี้จะเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ ที่รวมผู้คนในวงการสุขภาพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสร้างเครือข่าย เพื่อร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสุขภาพไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพและการแพทย์ระดับโลก

การกินชาว“Blue Zone”

อาหารคือปัจจัยสำคัญโดยตรงต่อสุขภาพ โดยทั่วไปแล้ว ชาว Blue Zone จะลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ไข่ และนม รวมถึงลดน้ำตาล เน้นอาหารแพลนต์เบส (Plant-Based) ผัก ผลไม้ (ยกเว้นมันฝรั่ง) และอาหารจากธรรมชาติ กินถั่วทุกวัน และเลือกกินขนมปังโฮลวีต

โอกินาวา (ญี่ปุ่น): กินให้อิ่มเพียง 80% เน้นผัก ปลา อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น ซอสถั่วเหลือง ซุปมิโซะ เต้าหู้ ถั่วหมัก และดื่มน้ำมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน อิคาเรีย (กรีซ): กินพืชตระกูลฟักและผักใบเขียวที่ปลูกเอง ดื่มนมแพะมากกว่านมวัว รวมถึงดื่มชา และไวน์สูตรเฉพาะที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และผู้สูงอายุชอบกินน้ำผึ้งครั้งละ 1 ช้อนในตอนเช้าและเย็น 

\'บลูโซน\' คือ \'วิถีชีวิต\' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก

นิโคยา (คอสตาริกา): นิยมกินข้าวโพดและถั่ว ไม่กินอาหารแปรรูป และจำกัดอาหารมื้อเย็นในปริมาณน้อย ดื่มน้ำปริมาณมาก ซึ่งน้ำในแถบนิโคยามีแคลเซียมสูง ช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับกระดูก  โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา): กินเนื้อหมูและเนื้อวัวเฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือไม่กินเลย เน้นโปรตีนจากพืช ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัทและอัลมอนด์ วันละ 1 กำมือ และไม่กินอาหารรสเค็มหรือหวานจัดเกินไป

ซาร์ดิเนีย (อิตาลี): กินอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เลือกกินเนื้อสัตว์ที่ไม่มีขา (ปลา) หรือมีขาน้อยที่สุด (สัตว์ปีก) ปรุงอาหารด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำมันจากถั่วเปลือกแข็งที่มีวิตามินอีสูงและไขมันอิ่มตัวที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล ดื่มไวน์ Cannonau ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าไวน์อื่น ๆ ในมื้อเย็น (ผู้ชายไม่เกิน 2 แก้ว ผู้หญิงไม่เกิน 1 แก้ว) และใช้เวลากินอาหารมื้อละประมาณ 30 นาที เพื่อให้ไม่เร่งรีบและมีความสุขกับการกิน

โลมา ลินดา(สหรัฐอเมริกา) :กินถั่ววันละ 1 กำมือ ซึ่งโลมา ลินดา เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีวิถีชีวิตแบบชาวเมือง แต่กินเนื้อหมู และเนื้อวัว เฉลี่ยไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือบางครั้งก็ไม่กินเลย มักกินอาหารที่มาจากพืชโปรตีนถั่ว ถั่วเปลือกแข็ง เช่น วอลนัท และอัลมอนด์ วันละ 1 กำมือ ไม่กินอาหารที่มีรสเค็ม และรสหวานจัดเกินไป 

เกาะอิคาเรีย ประเทศกรีซ: ดื่มนมแพะ ชา ไวน์ โดยทั่วไปชาวอิคาเรียนมักกินพืชประเภทฟัก และผักใบเขียว ที่ปลูกเองตามบ้านเรือน เน้นดื่มนมแพะมากกว่านมวัว รวมถึงยังมีการดื่มชา และไวน์สูตรเฉพาะที่อิคาเรีย เพราะเป็นเครื่องดื่มที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะชอบกินน้ำผึ้งครั้งละ 1 ช้อน ในช่วงตอนเช้า และตอนเย็นด้วย

\'บลูโซน\' คือ \'วิถีชีวิต\' เปลี่ยนไทยสู่ศูนย์กลางเวลเนสโลก