Super Agers: การแก่ตัวอย่างมีสุขภาพดี (1) | ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

นพ.เอริค โทโพล (Eric Topol) เป็นทั้ง แพทย์โรคหัวใจ นักวิชาการ และนักวิจัยด้านการแพทย์ของสถาบัน Scripps Research โดย มี ประสบการณ์กว่า 17 ปี
ในการศึกษากลุ่มคนที่เขาเรียกว่า "Super Agers" หรือผู้สูงอายุ (80 ปีหรือมากกว่า) แต่ยังมีร่างกายที่แข็งแรง สุขภาพดีและปราศจากโรค
งานวิจัยของนพ.โทโพล กำลังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเกี่ยวกับการแก่ตัวอย่างสิ้นเชิง และได้ถูกนำไปสรุปไว้ในหนังสือชื่อว่า Super Agers: An Evidence-Based Approach to Longevity ซึ่งผมได้นำมาแปลสรุปรวม 3 ตอน โดยสัปดาห์นี้ เป็นตอนที่หนึ่งครับ
ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า 95% ของชาวอเมริกันที่อายุเกิน 60 ปีมีโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (non-communicable diseases) อย่างน้อย 1 โรค และ 79% มีโรคเรื้อรัง 2โรคหรือมากกว่า มีเพียง 5% เท่านั้นที่ไม่มีโรคเรื้อรังเลย
ในประเทศไทย ตัวเลขก็ไม่น่าจะแตกต่างจากนี้มากนัก กล่าวคือ ปัญหาหลักที่การแพทย์กำลังพยายามแก้ไข ปัจจุบันนี้คือ โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ แต่ข่าวดีคือ โรคที่ไม่ติดต่อหลัก 4 โรคของผู้สูงอายุส่วนใหญ่นั้น สามารถป้องกันได้คือ โรคหัวใจ (80% ป้องกันได้) มะเร็ง (40% ป้องกันได้) และโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม (45% ป้องกันได้)
พันธุกรรม (หรือยีน)ไม่ใช่ชะตากรรม: ในปี 2007 ทีมนักวิจัยของนพ.โทโพลได้ทำการถอดรหัส และศึกษาดีเอ็นเอของผู้สูงอายุที่เรียกว่า Super Agers ประมาณ 1,400 คน คือ ได้คัดเลือกผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปที่ปราศจากโรคเรื้อรังใดๆ เลย
งานวิจัยพบว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีพันธุกรรมที่มีลักษณะพิเศษหรือแตกต่างจากคนทั่วไป หรือมีความคล้ายคลึงกันเองทางพันธุกรรมแต่อย่างใด
หมายความว่า DNA ไม่ใช่ตัวกำหนดการมีอายุที่ยืนยาวและสุขภาพดี คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ยีนเป็นตัวแปลหลักที่ทำให้คนที่อายุยืนและแข็งแรงเกินกว่าปกติอย่างมาก งานวิจัยของนพ.โทพอล ทำให้เรารู้ว่า เราทุกคนสามารถกำหนดชะตากรรมของตัวเองในการมีอายุยืนที่สุขภาพดีและแข็งแรง
การออกกำลังกาย: นพ. โทโพลกล่าวยืนยันว่า อาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการชะลอการแก่ตัว คือการออกกำลังกาย ซึ่งพิสูจน์ด้วยงานวิจัยจำนวนมากมายว่า เป็นตัวแปรเพียงตัวเดียวที่แสดงผล อย่างชัดเจนว่า สามารถชะลอนาฬิกาการแก่ตัวของร่างกายทั้งระบบได้จริง
นพ.โทโพล เป็นแพทย์โรคหัวใจ หทัยแพทย์ จึงเคยเน้นแต่การออกกำลังกายแบบแอโรบิก แต่พบว่า การออกกำลังให้กล้ามเนื้อแข็งแรง (strength training) และการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น (flexibility) ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก
ตัวนพ.โทโพลเอง จึงได้เพิ่มการออกกำลังกาย 2 ประเภทดังกล่าว ให้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง นพ.โทโพลเองก็อายุมากถึง 70 ปีแล้ว แต่ได้เพิ่มการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักครั้งละ 1 ชั่วโมง 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
"Lifestyle Plus": มากกว่าแค่อาหาร ออกกำลังกาย และนอนหลับ นพ.โทโพลเรียกแนวทาง การดูแลสุขภาพแบบใหม่นี้ว่า "Lifestyle Plus" เพราะมีมิติมากกว่าแค่การออกกำลังกาย โภชนาการ และการนอนหลับ กล่าวคือ การมีสุขภาพดี และร่างกายแข็งแรงตอนสูงวัยนั้น จะต้องคำนึงถึงภาวะสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อสุขภาพ เช่น การหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศ ไมโครพลาสติก สารเคมีที่ไม่ย่อยสลาย รวมถึงการไม่แยกตัวจากสังคม และการใช้เวลากับธรรมชาติอย่างเพียงพอเป็นต้น
การนอนหลับและสุขภาพสมอง การค้นพบล่าสุดเกี่ยวกับระบบ "glymphatic" ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการนอนหลับลึกในการชำระล้างของเสียออกจากสมองและระบบประสาทส่วนกลาง เหมือนกับระบบน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่ขจัดของเสียสำหรับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
นพ.โทโพลซึ่งเคยนอนหลับได้ไม่ดี ได้ปรับปรุงปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการนอนหลับให้มีคุณภาพ อย่างจริงจัง เช่น การกินอะไร และกินเมื่อไหร่ ซึ่งรวมถึงการดื่มน้ำ ที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้นในช่วงหัวค่ำ เพื่อให้การนอนหลับยาวต่อเนื่องทั้งคืนไม่ถูกรบกวน
งานวิจัยของนพ.โทโพล เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนทุกผู้ทุกวัย ไม่ว่าจะอายุ 40 หรือ 80 ปี กล่าวคือ ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางสุขภาพของตนเองได้ กล่าวคือ การปฏิบัติตามปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ สามารถทำให้เรามีอายุยืนยาวตอนสูงวัยอย่างมีคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกได้ถึง 7-10 ปี
และที่สำคัญคือ ไม่มีคำว่า “สายเกินไป” สำหรับการเริ่มต้นเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อการมีสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว เป้าหมายคือ การเพิ่มจำนวนปีของชีวิตของเราที่ปราศจากโรคร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเสื่อมของระบบประสาท
สัปดาห์หน้า: ตอนที่ 2 – นาฬิกาชีวิต (biological clock) และปัญญาประดิษฐ์: เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลง การดูแลสุขภาพ จากเชิงรับเป็นเชิงรุก