บำรุงราษฎร์ เปิดตัว 'ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์'

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดตัว 'ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์'
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับการจัดอันดับจาก Newsweek ให้เป็น “Asia's Top Private Hospitals 2025” อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย ด้านการผ่าตัดเข่าและผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม รวมถึงการผ่าตัดสะโพกและผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ล่าสุดได้ยกระดับ“ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์”ขึ้นดูแลผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง
แบร์รี่ วอล์ฟแมน Senior Executive Director of Operations โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวในการเปิดตัว“ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์”โดยเน้นย้ำถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลให้โรคข้อเสื่อม ซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทวีความรุนแรงขึ้น
จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2019 มีผู้คนทั่วโลกประมาณ 528 ล้านคนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดย 73% มีอายุมากกว่า 55 ปี และ 60% เป็นผู้หญิง ขณะที่ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า 6 ล้านคน การศึกษาพบว่า 70% ของผู้ที่มีอาการปวดเข่าไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้นในระยะยาว
ศ.นพ.อารี ตนาวลี หัวหน้าศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ (Advanced Arthritis & Arthroplasty Center - AAA) กล่าวว่าปัญหาโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมใช้ชีวิตแบบนั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเล่นกีฬาผิดท่า ซึ่งอาจเร่งให้เกิดภาวะข้อเสื่อมเร็วขึ้นได้ โรคข้อเสื่อมแม้ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ ความเสื่อมจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ติดขัด ข้อผิดรูป และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
“ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ทีมศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ทำงานร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพภายใต้ระบบ Case Conference เพื่อร่วมกันวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ และมี Monthly Monitoring Meeting เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาและคุณภาพบริการอย่างต่อเนื่อง
นวัตกรรมการรักษาและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-Assisted Joint Replacement) ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ข้อเข่าเทียมบางส่วน และข้อเข่าเทียมทั้งหมด เทคโนโลยีนี้ช่วย เพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งข้อเทียม ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน แผลผ่าตัดเล็ก ผู้ป่วยบาดเจ็บน้อย เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็วขึ้น และเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ การทำงานร่วมกับ เทคโนโลยี CT 3D Pre-Operative Planning ยังช่วยให้แพทย์วางแผนและดำเนินการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการผสมผสานเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (MIS) ร่วมกับเทคนิคคุมปวดแบบพิเศษ (Minimal Pain Arthroplasty) ที่เรียกว่า Opioid-Free Anesthesia ซึ่งเป็นเทคนิคเฉพาะของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่ช่วยลดหรือไม่ใช้มอร์ฟีนเลย ช่วยลดความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว การรักษาแบบเฉพาะบุคคลและการดูแลครบวงจร: เน้นแนวทางการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมและเฉพาะบุคคล (Seamless Patients Journey and Personalized Care) ครอบคลุมตั้งแต่การวินิจฉัยไปจนถึงการฟื้นฟูและติดตามผล ศูนย์ฯ มี ระบบการฟื้นฟูหลังผ่าตัดที่ชัดเจน (Milestone Recovery Program) ซึ่งเน้น 3 เกณฑ์หลักก่อนผู้ป่วยกลับบ้าน ได้แก่ ความปลอดภัยสูงสุด การฟื้นฟูให้เคลื่อนไหวได้ดี และสร้างความมั่นใจในการกลับไปใช้ชีวิต
นพ.ชาลี สุเมธวานิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ กล่าวว่าการผ่าตัดข้อเข่าและข้อสะโพกในกรณีที่มีความซับซ้อนสูง (Complex Primary Joint Replacement) ซึ่งต้องอาศัยทั้งประสบการณ์อันยาวนานของศัลยแพทย์และการวางแผนที่แม่นยำ เช่น เคสข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด ข้อผิดรูปจากอุบัติเหตุ กระดูกบาง หรือมีพังผืดหนาแน่น รวมถึงการผ่าตัดซ่อมเสริมหรือเปลี่ยนข้อเทียมใหม่ (Revision Joint Replacement Surgery) ที่มีความซับซ้อนกว่าครั้งแรกมาก ศูนย์ฯ มีความพร้อมทั้งบุคลากร เทคโนโลยี และระบบการดูแลที่เป็นมาตรฐานในการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้
นพ.สุรพจน์ เมฆนาวิน แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์กระดูกและข้อ กล่าวว่าสำหรับการรักษาอัตราการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด เพียง 0.69% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.03%) อัตราการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล อยู่ที่ 0.40% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.62%) อัตราการกลับมาผ่าตัดซ้ำภายใน 30 วัน อยู่ที่ 0% (เทียบกับโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐอเมริกา 1.18%)
นอกจากนี้ ทางศูนย์ฯ ยังมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยสามารถลุกเดินด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดินในระยะทางอย่างน้อย 15 เมตร ภายใน 3 วันหลังการผ่าตัด ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน







