‘รับมือโรคอ้วน’ ประโยชน์ที่มากกว่าตัวเลข‘ลดน้ำหนัก’

“บอกซิเออ เธอจะเอาเท่าไร เอาเท่าไร ไม่อ้วนเอาเท่าไร” บทเพลงดังในอดีตที่หลายคนเคยคุ้นหู ฉายภาพความอ้วน ณ เวลานั้นถูกมองเป็นแค่ปัญหาส่วนตัว ขณะที่ปัจจุบันโรคอ้วนถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุข
“โรคอ้วนไม่ใช่ประเด็นของน้ำหนักตัวเกินเพียงอย่างเดียว แต่คือภาวะที่ซับซ้อนอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อรักษาโรคอ้วนเราจำเป็นต้องรับมือร่วมกับภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เกินกว่าการลดตัวเลขน้ำหนักเพียงอย่างเดียว” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อภิชาต สุคนธสรรพ์ นายกสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวบนเวทีเสวนา "นิยามใหม่แห่งการควบคุมโรคอ้วน: ประโยชน์ที่มากกว่าแค่การลดน้ำหนัก" (Redefining obesity management: Benefits beyond weight loss) จัดโดยบริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “โนโว นอร์ดิสค์” บริษัทยาชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก
นายแพทย์อภิชาตไม่ได้พูดขู่ให้เรากลัว หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) จัดให้โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่มีความรุนแรง ในประเทศไทยประชากรมากกว่า 40% มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งโรคนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังร้ายแรง อาทิ เบาหวาน หัวใจ ไตเรื้อรัง โดยเกือบหนึ่งในสามของผู้ที่เป็นโรคอ้วนประสบกับภาวะเหล่านี้ นี่ไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจกบุคคล เพราะนอกจากโรคอ้วนเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญแล้ว ยังสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในรูปของประสิทธิภาพการทำงานลดลง เจอค่ารักษาพยาบาลเพิ่ม และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
เอ็นริโก้ คานัล บรูแลนด์ ผู้จัดการทั่วไปบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นี่คือระเบิดเวลาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข นอกเหนือจากข้อกังวลด้านสาธารณสุขแล้ว ข้อมูลนับถึงปี 2019 กว่า 1% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทย ใช้ไปกับการรักษาผลจากโรคอ้วน หรือการสูญเสียผลิตภาพ การขาดงาน คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ของจีดีพีภายในปี 2060 ระบบสาธารณสุขคงทำงานได้ยาก ถ้า 5% ของจีดีพีต้องใช้ไปกับการรักษาผลพวงของโรคอ้วน จึงถึงเวลาที่ต้องลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้
ฟังข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องแล้วความเจ็บป่วยจากโรคอ้วนไม่มีอะไรดีเลย แล้วผู้ป่วยอยากอ้วนหรือไม่? ก็ไม่ หากแต่เมื่อเผชิญช่วงเวลาที่ต้องอ้วน ผู้ป่วยใช้ชีวิตในช่วงนั้นอย่างไร พิชญะ เพียรงาม ผู้ที่เคยดำรงชีวิตกับโรคอ้วน เล่าประสบการณ์ว่า เธอเป็นคนอ้วนๆ ผอมๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่สมัยอายุยังน้อยนั้นลดน้ำหนักได้เร็ว ครั้นเข้าสู่วัยทำงานเกิดความเครียดก็คลายเครียดด้วยการรับประทานและไม่มีเวลาออกกำลังกาย จึงลดน้ำหนักไม่ลง ผลตรวจสุขภาพค่าทุกอย่างแย่หมดสุดท้ายตระหนักว่า ถึงเวลาต้องดูแลตัวเองจึงเข้าพบแพทย์
เรื่องผลการตรวจสุขภาพนายแพทย์อภิชาตกล่าวเสริมว่า โรคอ้วนในระยะแรกค่าต่างๆ ที่อ่านจากผลเลือดอาจจะยังไม่เปลี่ยน โรคอ้วนกำหนดจาก ดัชนีมวลกาย (บีเอ็มไอ), การวัดรอบเอว ผู้หญิงเอเชียไม่ควรเกิน 80 เซนติเมตร ผู้ชายไม่เกิน 90 เซนติเมตร อีกวิธีคือการสแกนร่างกายดูไขมัน วิธีนี้ใช้ในการทำวิจัย
สำหรับพิชญะเมื่อตัดสินใจพบแพทย์ได้รับคำแนะนำให้ลดน้ำหนัก ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอพยายามทำมาแล้วหนึ่งปีแต่ไม่สำเร็จ น้ำหนักสูงสุด 100 กิโลกรัมใช้เวลาไต่ระดับมาหลายปี เมื่อลดเองไม่ได้ผลแพทย์จำต้องแนะนำให้ใช้ยาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและปรับโภชนาการ หากทั้งหมดยังไม่สำเร็จก็ต้องใช้การผ่าตัด พิชญะยอมรับหากต้องใช้วิธีผ่าตัดแต่โชคดีที่เธอลดน้ำหนักตัวลงได้ก่อน
“ช่วงสามเดือนแรกก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อาการนอนกรนหรือนอนหลับดีขึ้น ฮอร์โมนของผู้หญิงกลับมาเป็นปกติ ไม่เหนื่อยหอบ ไม่ปวดเข่า ทำให้เรามีความมั่นใจ กล้าสู้สายตาคนมากขึ้น ตอนที่อ้วนมากๆ เราก็ไม่ได้ชอบตัวเองในเวอร์ชันนั้น ไม่อยากอยู่ในที่สาธารณะ” พิชญะเล่าถึงชีวิตที่ตอนนี้ดีขึ้นในทุกๆ ทาง
เรื่องราวของพิชญะเป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างของคนที่เคยอยู่กับโรคอ้วน แต่ในเมื่อโรคนี้กำลังเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ซีอีโอโนโว นอร์ดิสค์ ย้ำว่า สิ่งที่ต้องลงมือทำโดยด่วนคือ การสร้างความตระหนักรู้ ภาครัฐและเอกชนต้องจับมือเป็นหุ้นส่วนกัน
“โรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่มากเกินกว่าใครจะแก้ไขได้โดยลำพัง ถ้ามีใครทำได้เพียงฝ่ายเดียวก็คงทำสำเร็จไปแล้ว” บรูแลนด์กล่าวและว่า จากความตระหนักรู้นำไปสู่การป้องกัน เน้นการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพ การควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการโรคอ้วน การรักษาก็ทำได้ เช่น การผ่าตัดลดน้ำหนักรวมถึงนวัตกรรมการรักษาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับโรคอ้วนได้
"นวัตกรรมไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก แต่เป็นการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีมากขึ้น สิ่งที่สำคัญคือเราเข้าใจว่า การจัดการน้ำหนักไม่ใช่แค่ตัวเลขที่หายไป แต่เป็นเรื่องของสุขภาพ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมีคุณภาพเมื่อเวลาผันผ่าน ซึ่งทุกคนในสังคมสมควรได้รับสิ่งนี้" ซีอีโอโนโว นอร์ดิสค์ สรุป
- อาหารเป็นยาตำรับนอร์ดิก
การป้องกันโรคทุกโรคมักเริ่มต้นที่อาหาร อย่างที่โบราณท่านว่า “อาหารเป็นยา” งานเสวนา “นิยามใหม่แห่งการควบคุมโรคอ้วน: ประโยชน์ที่มากกว่าแค่การลดน้ำหนัก” สรุปได้ว่า การป้องกันโรคอ้วนเริ่มต้นที่ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย หากยังไม่ได้ผลต้องพบแพทย์ใช้วิธีการรักษา ที่มีทั้งการใช้ยาและผ่าตัด ดังนั้นหากเริ่มต้นที่อาหารได้ย่อมดีกว่า
เมื่อโนโว นอร์ดิสค์ ผู้จัดงานเป็นบริษัทยาจากเดนมาร์ก อาหารที่จะใช้เป็นยาและนำมาจัดเลี้ยงแขกในงานย่อมหนีไม่พ้นตำรับอาหารนอร์ดิก ฝีมือเชฟบัดดี้ “ถมธนัตถ์ หทโยดม” จากร้าน That Fat Kid Buddy แปลเป็นไทยว่า เด็กอ้วนคนนั้นที่ชื่อบัดดี้ ตรงกับคอนเซ็ปของงานเสวนา
เจ้าตัวมองว่า โรคอ้วนเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมจริงๆ เพราะทุกวันนี้ “อาหารแปรรูปเยอะมาก เราไม่เคยรู้ว่าทานอะไรเข้าไปบ้าง สารตัวนี้ดีหรือไม่ดี ทานได้เยอะหรือทานได้น้อย”
เชฟบัดดี้ยอมรับว่า ช่วงสองสามปีที่ผ่านมารู้สึกตัวเองตัวใหญ่ขึ้น เวลาไปหาหมอก็โดนดุแล้วแนะนำให้ลดน้ำหนัก เขาใช้วิธีลดอาหารแปรรูป แต่เนื่องจากสังคมทุกวันนี้ทุกอย่างสะดวกมาก เดินเข้าร้านสะดวกซื้อหาได้ทุกอย่าง เชฟเองก็ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรบ้าง จึงมองว่าควรให้การศึกษาให้สังคมไทยมีความรู้เรื่องอาหารการกินมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จะรับประทานอาหารทั้งทีต้องเลือกที่อร่อย! ทัศนะหนึ่งของคนไทยที่มองความอ้วนในทางบวกคือความเชื่อที่ว่า “คนอ้วน” ทำอาหารอร่อย จะรับประทานอาหารร้านไหนต้องเลือกร้านที่คนขายอ้วน
“ผมก็น่าจะเป็นหนึ่งในคนนั้นแหละ เวลาอยู่ที่ร้านก็มีคนอยากไปเจอ อยากรู้ว่าเชฟอ้วนจริงมั้ย” เชฟบัดดี้เข้าใจแนวคิดนี้แต่สำหรับเขาแล้วขอให้อ้วนแบบมีสุขภาพดี และเมื่อต้องรังสรรค์อาหารนอร์ดิกมาขึ้นโต๊ะงานเสวนา เจ้าตัวก็ทำด้วยความเข้าใจ เพราะเคยมีโอกาสฝึกงานที่โคเปนเฮเกน 2-3 เดือน
“ตัวตนของนอร์ดิกคือการถนอมอาหารให้อยู่นานโดยวิธีธรรมชาติ เน้นการหมัก ดอง และ minimalist ด้วยความที่เขามีฤดูหนาวตลอดปีมีช่วงฤดูร้อนเพียงสั้นๆ จึงต้องหาวิธีถนอมอาหารให้รับประทานได้ทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นผักหรือปลา โดยที่รสชาติไม่ซ้ำ”
ภาพจำอาหารนอร์ดิกของเชฟบัดดี้คือความเปรี้ยวแบบลงตัว เพราะมีผักดองเยอะ ตามด้วยรสเค็มแต่ปรุงได้นัวเป็นเสน่ห์ของอาหารนอร์ดิก แต่ทานแล้วไม่อ้วนจริงหรือไม่?
“อะไรเยอะไปก็อ้วนหมดแหละครับ!” เชฟบัดดี้ตอบตรงไปตรงมา
สำหรับคนไทยที่อยากทำอาหารนอร์ดิกทานเองที่บ้าน เชฟกล่าวว่า ถ้าทำอาหารฝรั่งเป็นก็ไม่ยากแต่ต้องศึกษาว่าจะนำน้ำหมักดองชนิดใดมาปรุงรส ส่วนเคล็ดลับการทานอาหารให้อร่อยอย่างมีสุขภาพตามสไตล์เชฟบัดดี้
“กินเท่าไหร่ก็เอาออกเท่านั้น อายุในวัย 30 ไม่เหมือนกับวัย 20 กินทุกอย่างได้แต่ต้องออกกำลังกาย” เชฟกล่าวพลางยิ้มพลางตามสไตล์หนุ่มอารมณ์ดีฝีมือทำอาหารเป็นเลิศ เพราะหากเราเข้าใจตรรกะของอาหารและการลดน้ำหนักแล้ว ตัวเลขแต่ละขีดที่ลดลงมีความหมายมากกว่าตัวเลข นั่นคือคุณภาพชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น







