แอนแทรกซ์ โรคเก่าเล่าใหม่ ป้องกันได้หากเข้าใจ | Now and Beyond

แอนแทรกซ์ โรคเก่าเล่าใหม่ ป้องกันได้หากเข้าใจ | Now and Beyond

ข่าวเรื่องโรคแอนแทรกซ์ที่ระบาดในปศุสัตว์ มีผู้เสียชีวิตและนำไปสู่การที่ประเทศเพื่อนบ้านห้ามนำเข้าเนื้อโคจากประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลกับโรคนี้ที่ห่างหายไปนานแล้ว

โรคแอนแทรกซ์อาจฟังดูน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่พบได้ยากในประเทศไทย การทำความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้เรารู้จักวิธีป้องกันตัวเองและไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป

“แอนแทรกซ์” เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ชื่อ Bacillus anthracis สปอร์คือระยะติดต่อของเชื้อนี้แบคทีเรียที่ว่าสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ และพืชได้หลายปี และทนทานต่อความร้อน ความแห้งแล้ง และสารเคมี โรคนี้มีผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ

เนื่องจากทำให้เกิดการสูญเสียในปศุสัตว์ และยังสามารถติดต่อมาสู่คนได้หากเกิดการระบาด จึงก่อให้เกิดความเสี่ยงทางสาธารณสุข เนื่องจากโรคสามารถแพร่ระบาดในคนทั้งในประเทศที่มีการระบาดและแพร่ข้ามพรมแดนได้โดยติดต่อผ่านทางสัตว์ ผลิตภัณฑ์สัตว์ พาหนะ หรือพาหะนำโรค

โดยธรรมชาติ สัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เป็นสัตว์ที่ติดโรคแอนแทรกซ์ได้ง่าย (susceptible host) หรือเป็นรังโรคแอนแทรกซ์ (reservoir host) สัตว์เหล่านี้สามารถติดเชื้อได้จากการเล็มกินหญ้าที่ปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์

เมื่อสปอร์เข้าสู่ร่างกายสัตว์ จะเปลี่ยนเป็นระยะเจริญเติบโต เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว และสร้างสารพิษ (ท็อกซิน) ทำให้สัตว์ป่วยหนักและอาจตายได้อย่างรวดเร็ว ระยะฟักตัวของโรคในสัตว์โดยทั่วไปคือ 1-14 วัน เมื่อมีการถ่ายมูลหรือมีสารคัดหลั่งออกมาจากสัตว์ที่กำลังตาย เชื้อแอนแทรกซ์จะเปลี่ยนเป็นสปอร์และปนเปื้อนอยู่ในดิน ทำให้เกิดวงจรการแพร่เชื้อต่อไป

การติดต่อระหว่างสัตว์สู่สัตว์นั้นมีโอกาสพบได้ยาก เช่นเดียวกับการติดต่อจากคนสู่คนโดยตรงพบได้ยากด้วยเช่นกัน การติดเชื้อแอนแทรกซ์ในคนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ตามช่องทางที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกัน

1.แอนแทรกซ์ทางผิวหนัง การติดเชื้อในรูปแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีบาดแผล รอยถลอก หรือรอยขีดข่วน การสัมผัสกับสัตว์ป่วย สัตว์ตาย ซากสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ปนเปื้อนสปอร์ เช่น ขนสัตว์ หนังสัตว์ หรือของเหลวจากร่างกายสัตว์

กลุ่มเสี่ยงคือ คนเลี้ยงปศุสัตว์ พ่อค้าซื้อขายปศุสัตว์ คนชำแหละเนื้อปศุสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล และคนที่ทำงานในโรงงานผลิตภัณฑ์จากสัตว์ 

อาการเริ่มต้นคือ มีอาการคันบริเวณที่สัมผัสเชื้อ จากนั้นจะเกิดตุ่มแดง แล้วกลายเป็นตุ่มพองใสภายใน 2-6 วัน ตุ่มพองจะยุบและกลายเป็นแผลเนื้อตายสีดำคล้ายแผลบุหรี่จี้ตรงกลาง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของแอนแทรกซ์ทางผิวหนัง แผลนี้ไม่เจ็บ แต่อาจมีอาการบวมรอบ ๆ แผล และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต ไข้ และปวดศีรษะ

2.แอนแทรกซ์ระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อในรูปแบบนี้เกิดจากการกินเนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุกที่มาจากสัตว์ที่ติดเชื้อ ป่วยหรือตาย กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือปรุงไม่สุก เช่น ลาบ ก้อย ซอยจุ๊ โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางปากและลำคอ ทำให้เกิดแผลอักเสบในระบบทางเดินอาหาร

อาการที่พบบ่อยคือ เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายเป็นเลือด ในรายที่รุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิต เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือด เลือดเป็นพิษ และอวัยวะล้มเหลว

3.แอนแทรกซ์ระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อในรูปแบบนี้เกิดขึ้นจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์ที่อยู่ในฝุ่นดินที่ปนเปื้อนหรือขนของสัตว์ที่ป่วยหรือตายเข้าไป รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดและอันตรายถึงชีวิตได้มากที่สุด

กลุ่มเสี่ยงคือ คนงานฟาร์มปศุสัตว์และคนเลี้ยงสัตว์ตามครัวเรือน อาการในระยะแรกอาจคล้ายกับไข้หวัด เช่น มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย และปวดกล้ามเนื้อ ต่อมาจะมีอาการหายใจลำบาก เจ็บหน้าอก อาจมีภาวะช็อก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเลือดออกภายใน

กรณีการระบาดที่ผ่านมาในประเทศลาวในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.2567 ในจังหวัดจำปาสักและจังหวัดสาละวัน และประเทศไทยในช่วงเดือน เม.ย.2568 ในจังหวัดมุกดาหาร เป็นตัวอย่างของการติดเชื้อแอนแทรกซ์ทางผิวหนังและระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสัมผัสและกินเนื้อวัวดิบ เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

แม้ว่าโรคแอนแทรกซ์ในคนจะมีความรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่การติดต่อของโรคจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้ยาก ผู้สัมผัสหรือผู้ติดเชื้อสามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมโรค คือไม่บริโภคเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อน

การบริโภคเนื้อสัตว์ต้องปรุงสุก (ความร้อน 100 องศา C นานกว่า15 นาที หรือตุ๋นเนื้อสัตว์) ผู้ที่ทำงานในฟาร์มหรือเลี้ยงปศุสัตว์ หรือผู้ทำงานอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ หน้ากาก และเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด เพื่อป้องกันการสัมผัสกับเชื้อ

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคแอนแทรกซ์ในพื้นที่ระบาด แนะนำในกลุ่มเสี่ยงสูงอายุ 18-65 ปีที่ได้รับการยืนยันว่าสัมผัสหรือติดเชื้อแอนแทรกซ์โดยเร็วที่สุด ร่วมกับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ในช่วงที่มีการระบาดต้องจัดการซากสัตว์อย่างถูกวิธี เช่น การเผา หรือการฝังกลบในหลุมลึกมากกว่า 2 เมตรที่โรยด้วยปูนขาว

เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของสปอร์ และต้องรายงานสัตว์ป่วยหรือสัตว์ตายต่อหน่วยงานรับผิดชอบอย่างรวดเร็ว จะช่วยให้สามารถควบคุมการระบาดได้ทันท่วงที การฉีดวัคซีนในสัตว์ การจัดการซากสัตว์ และเฝ้าระวังโรค จะดำเนินการในรัศมี 1-5 กิโลเมตรจากแหล่งระบาด

โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่ประชาชนต้องทำความเข้าใจและตระหนักถึงการติดต่อ ความรุนแรงของโรค และการป้องกันควบคุมโรค เพื่อช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และปฏิบัติตนได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ การให้ความร่วมมือกับหน่วยงานปศุสัตว์ หน่วยงานสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรค ก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการระบาดในวงกว้างอีกด้วย