'เคล็ดลับ' ดื่มแล้วรอด เพราะห้ามไม่ได้จึงสอน 'ดื่มมาตรฐาน'

ผลการวิจัยชี้ว่าการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น 2 เท่า
KEY
POINTS
- "ดื่มมาตรฐาน"เป็นการปรับพฤติกรรม เข้าใจผลกระทบของการดื่ม ดื่มไม่ขับ และป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงการดื่ม
- การห้ามให้คนดื่มอาจเป็นไปไม่ได้ และเราก็คงไม่สามารถกำจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้100%
- การหาแนวปฎิบัติ การเลือกดื่มที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการดื่มมาตรฐานในหลายๆ ประเทศจะเป็นตามกฎหมาย และมีมาตรการที่ต่อเนื่อง ชัดเจน
ผลการวิจัยชี้ว่าการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น 2 เท่า หากมีแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 6 เท่า และหากมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงถึง 40 เท่า ฉะนั้นอย่าคิดว่าขับรถใกล้ ๆ ไม่เป็นไร โอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับสูงมาก
การเมาแล้วขับเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาความเสียหายอาจจะมากกว่าที่คิดเอาไว้ โดยข้อมูลจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่า อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สร้างรายได้จากการขายให้กับเศรษฐกิจเกือบ 6 แสนล้านบาท ภาครัฐมีรายได้จากภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่ก็ได้สร้างต้นทุนทางสังคมไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท
- สร้างผลกระทบด้านสุขภาพมากที่สุด 55% คิดเป็น 9.4 หมื่นล้านบาท
- รองลงมาคือ อุบัติเหตุทางถนน 31% กว่า 5.3 หมื่นล้านบาท
- ปัญหาการบาดเจ็บต่างๆ 10 % คิดเป็น 1.7 หมื่นล้านบาท
- อาชญากรรม 4% คิดเป็น 7 พันล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เมาแล้วขับ ยอดพุ่ง 11,801 ราย สงกรานต์ 2568 ถูกจับซ้ำรับโทษสูงขึ้น
“ดื่มมาตรฐาน”รับผิดชอบบ้าน-สังคม
“ชัชฎา จันทรางศุ” ประธานมูลนิธิแก้ไขปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ (มปอ) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ”ถึงแนวคิดหลักการดื่มมาตรฐานว่า การดื่มมาตรฐาน เป็นแคมเปณที่แตกต่างจากแคมเปณการรณรงค์เกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ
โดยที่ผ่านมาการรณรงค์เกี่ยวกับการดื่มจะเป็นการสร้างภาพให้คนกลัว และเป็นการห้ามให้ดื่ม ซึ่งในความเป็นจริงนักดื่ม หรือคนที่ต้องดื่มอาจจำเป็นต้องดื่มตามสถานการณ์ต่างๆ เช่น การพบปะลูกค้า การเลี้ยงรับรองลูกค้า หรือเป็นงานสังสรรค์ เพราะต้องยอมรับว่าการดื่มเป็นวัฒนธรรมที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน
“การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น งานตามประเพณีทางศาสนา งานเลี้ยงสังสรรค์ เทศกาลต่างๆ หรือการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า ธุรกิจ ล้วนมีการดื่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การห้ามให้คนดื่มอาจเป็นไปไม่ได้ และเราก็คงไม่สามารถกำจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้100% ฉะนั้น การหาแนวปฎิบัติ อย่าง การดื่มมาตรฐาน ดื่มอย่างรับผิดชอบต่อที่บ้าน สังคม การเลือกดื่มที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งการดื่มมาตรฐานในหลายๆ ประเทศจะเป็นตามกฎหมาย และมีมาตรการที่ต่อเนื่อง ชัดเจน”ชัชฎา กล่าว
1 ดื่มมาตรฐานในเครื่องดื่มแต่ละประเภท
ชัชฎา กล่าวต่อว่า 1 ดื่มมาตรฐาน หรือ Standard Drink คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ผสมอยู่ 10 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ตับใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในการขับออก โดย 1 ดื่มมาตรฐาน ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ละชนิดนั้นไม่เท่ากัน อย่าง
- เบียร์ หรือเครื่องดื่มพร้อมดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 5% จะมี1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 1 กระป๋อง หรือ 1 ขวดเล็ก หรือ 330 มิลลิลิตร
- วิสกี้ หรือ วอดก้าที่มีแอลกอฮอล์ 40-43% 1 ดื่มมาตรฐาน จะอยู่ที่ 3 ฝา หรือ 30 มิลลิลิตร
- ไวน์ ที่มีแอลกอฮอล์ 11-13% จะมี1 ดื่มมาตรฐานคือ 1 แก้ว หรือ 100 มิลลิลิตร
“การดื่มในผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกัน 1 ดื่มมาตรฐานของผู้หญิงกับผู้ชายจึงต่างกัน โดยไม่ควรดื่มเกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ผู้ชาย ใน 1 วันไม่ควรดื่มเกิน 4 ดื่ม มาตรฐาน โดยดื่มไม่เกิน 2 ดื่มในชั่วโมง แรก และ 1 ดื่มในชั่วโมงถัดไป ส่วนสาวๆ ใน 1 วันไม่ควรดื่มเกิน 2 ดื่มมาตรฐาน โดยดื่ม ไม่เกิน 1 ดื่มในแต่ละชั่วโมง และถ้าคิดจะดื่ม (แม้แต่แก้วเดียว) ก็ไม่ควรขับรถ ที่สำคัญตามธรรมชาติร่างกายของผู้หญิง การดื่มจะทำให้ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ชาย เมื่อดื่มควรจะดื่มน้ำมากๆ และรู้ว่าตัวเองสามารถดื่มได้มากน้อยขนาดไหน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง”ชัชฎา กล่าว
เปลี่ยนพฤติกรรม เข้าใจดื่มมาตรฐาน
ประธาน มปอ กล่าวอีกว่าจุดยืนของมปอ และพันธมิตรใกล้เคียงจะมุ่งเน้นแคมเปณรณรงค์การให้ความรู้ทั้งด้านผลกระทบและการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงการป้องกันไม่ให้เยาวชนเข้าถึงการดื่ม ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และการสร้างความร่วมมือกับเครือข่าย เพราะตอนนี้นักดื่มส่วนใหญ่จะดื่มเป็นไลฟ์สไตล์ ดื่มเพื่อการสังสรรค์ หรือดื่มตามอารมณ์ สนุก เศร้าก็อยากดื่ม แต่ไม่ค่อยเข้าใจหรือมีความรู้การดื่มมาตรฐาน ว่าเป็นอย่างไร
“การดื่มมาตรฐาน เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแนวคิด เป็นการทำงานผ่านกลุ่มภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรณรงค์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่เพียงเข้าใจหลักการดื่มมาตรฐาน แต่เป็นการปรับพฤติกรรม เข้าใจผลกระทบของการดื่ม และดื่มไม่ขับ และมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้การดื่มอย่างรับผิดชอบ ดื่มอย่างปลอดภัย ในมุมของการทำของคนทำงาน ปัจจุบันคนจะเข้าใจและปฎิบัติตามแคมเปณรณรงค์เมาไม่ขับ หรือแคมเปณ 7 วันอันตรายมากขึ้น ดูได้จากสถิติอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ปี 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีอื่นๆ” ชัชฎา กล่าว
“ห้ามดื่ม” ไม่ได้ผล ต้องสอนการดื่ม
หลายครั้งที่ไปรณรงค์ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “การดื่มมาตรฐาน” คำถามที่ได้รับคือ “ต้องดื่มปริมาณเท่าไหร่? ถึงจะไม่ถูกจับ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าดื่มแล้วจะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร หรือตัวเองควรดื่มปริมาณเท่าไหน แต่จะกังวลเรื่องของการถูกจับตามกฎหมาย
ชัชฎา กล่าวด้วยว่าเทรนด์การดื่มมาตรฐาน หรือการดื่มอย่างรับผิดชอบนั้นในหลายๆ ประเทศได้มีการดำเนินการ โดยเฉพาะประเทศจีน เกาหลีที่มีวัฒนธรรมการดื่มอย่างมาก แต่พวกเขามีแคมเปณที่ทำแล้วได้ผล เพราะทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง และทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยไม่มีหน่วยงานไหนสอนการดื่ม ทำให้มีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ว่าควรดื่มประมาณไหน หรือดื่มเวลาไหน เราไม่ได้รับความรู้เรื่องนี้
“คนไทยห่วงโดนจับมากกว่าห่วงสุขภาพ เราไม่ได้บอกให้ทุกคนดื่มเยอะขึ้น แต่อยากให้ทุกคนดื่มให้เป็น คนไทยชอบสังสรรค์ การห้ามดื่มเป็นเรื่องยาก ควรให้องค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการดื่ม และหลักในการดื่ม ที่สำคัญทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันทำให้เป็นการดื่มอย่างรับผิดชอบ ป้องกันเมาแล้วขับ และป้องกันเยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งในส่วนของการบังคับใช้กฎหมาย อาจจะไม่สามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ทั้งหมด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่คนใดคนหนึ่ง ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกัน”ประธานมปอ กล่าว