'ปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน' เช็กอาการ วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น

จากกรณีการเกิดเหตุแผ่นดินไหว หลายคนอาจยังต้องเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพที่เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง
KEY
POINTS
-
อาการปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน มักแสดงออกใน 24 - 48 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ โดยมีปวดตึงบริเวณ คอ บ่า ไหล่ หลังส่วนล่าง ปวดจี๊ดเฉพาะจุด หรือรู้สึกปวดเวลาขยับ
-
วิธีการดูแลเบื้องต้น ควรประคบร้อน (ยกเว้นช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเจ็บใหม่ๆ ควรประคบเย็น) วันละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 15 - 20 นาที หลีกเลี่ยงท่าทางที่กระตุ้นอาการปวด งดก้ม ยกของหนัก
-
หากอาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน มีอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย ขยับแล้วมีเสียงดัง "ก๊อบแก๊บ" หรือรู้สึกข้อติด ปวดจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
จากกรณีการเกิดเหตุแผ่นดินไหว หลายคนอาจยังต้องเผชิญกับผลกระทบด้านสุขภาพ ที่เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง นั่นคือ “อาการปวดกล้ามเนื้อ” ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
การเคลื่อนไหวที่ผิดท่า การเกร็งตัวในขณะตกใจ หรือความผิดพลาดขณะทำการช่วยเหลือผู้อื่น เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อขึ้นได้ หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร หรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือไม่ มาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการที่ควรสังเกต และวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างปลอดภัย เพื่อฟื้นฟูสุขภาพ
นพ.นิธิวุฒิ ปิ่นสิรานนท์ แพทย์ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน อธิบายว่ากลุ่มอาการปวดของกล้ามเนื้อลายและเยื่อพังผืด ซึ่งมีจุดปวดที่ไวต่อการกระตุ้น (Trigger point) ของกล้ามเนื้อ โดยกล้ามเนื้อแต่ละกลุ่มจะมีรูปแบบอาการปวดที่เฉพาะ และอาการปวดจะไม่กระจายไปตามเส้นประสาท หรือกล่าวได้ว่า ภายในกล้ามเนื้อแต่ละมัดนั้น จะมีจุดกดเจ็บ
เมื่อใช้ปลายนิ้วกดคลำจะพบเป็นก้อนพังผืดแข็ง ๆ หรือตึงเป็นลำอยู่ภายในมัดกล้ามเนื้อ อาจเป็นทั้งสาเหตุหลัก หรือพบร่วมกับกลุ่มอาการปวดจากภาวะอื่น ๆ ก็ได้ ซึ่งมักจะพบได้ใจเพศหญิงมากว่าเพศชาย โดยช่วงอายุที่พบบ่อย คือ 31-60 ปี ส่วนใหญ่มักเป็นๆ หายๆ จะต้องพบแพทย์บ่อย ทำให้เกิดการรำคาญหรือความวิตกกังวลได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ตรวจเช็ก!!สุขภาพกล้ามเนื้อที่คนวัยทำงานไม่ควรพลาด
'ปวดเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ' อย่าทิ้งไว้นาน อาจเสี่ยง 'เจ็บปวดเรื้อรัง'
สาเหตุอาการ "ปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน"
แม้เหตุการณ์ แผ่นดินไหว จะกินเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ร่างกายของเราอาจตอบสนองอย่างรวดเร็วและรุนแรง ต่อความตกใจหรือแรงสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว เช่น
- เกร็งตัวทันทีจากความตกใจ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดแรงตึงมากผิดปกติ
- เคลื่อนไหวผิดท่าขณะหลบหนี เช่น การวิ่งเร็ว ก้ม เก็บของ หรือกระโดดโดยไม่ทันตั้งหลัก
- ยืนนานในท่าตึงเครียด เช่น นั่งหรือยืนหดตัวระหว่างเกิดเหตุการณ์
- ความเครียดสะสม หลังเหตุการณ์อาจกระตุ้นอาการปวดกล้ามเนื้อคล้ายคนที่เป็น office syndrome
อาการปวดกล้ามเนื้อจากเหตุการณ์เฉียบพลัน มักแสดงออกใน 24 - 48 ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ โดยอาจพบอาการเหล่านี้
- ปวดตึงบริเวณ คอ บ่า ไหล่ หลังส่วนล่าง
- ปวดจี๊ดเฉพาะจุด หรือรู้สึกปวดเวลาขยับ
- กดลงไปมีจุดเจ็บหรือเป็นก้อนแข็ง
- อ่อนแรงหรือเคลื่อนไหวได้น้อยลง
นอกจากนั้น ในส่วนของวัยทำงาน มีโอกาสเป็น “กล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน” ที่เป็นอยู่บ่อยๆ ทำให้หลายๆ คนอาจมองข้าม เพราะคิดว่าไม่เป็นอะไร หรือคิดว่าเดี๋ยวก็คงหายไปเอง แต่รู้หรือไม่? ว่าอาการกล้ามเนื้อหลังอักเสบนั้นสามารถส่งผล หรือบ่งบอกถึงโรคอื่นๆ ได้ และถ้าหากไม่รักษาก็อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังได้เช่นกัน
โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน คืออะไร?
โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน คือ โรคที่กล้ามเนื้อบริเวณหลังมีความผิดปกติอย่างเฉียบพลัน สามารถเกิดได้ตั้งแต่ช่วงต้นคอลงไปจนถึงหลังส่วนล่าง โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นทันที หลังจากที่กล้ามเนื้อได้รับการบาดเจ็บ หรือใช้งานมากเกินไปจนเกิดการอักเสบ
การอักเสบนั้นจะเป็นกระบวนการหนึ่งของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อเซลล์ได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อ โดยมีการหลั่งสารภายในร่างกายไปยังบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการรักษาตัวเอง หรือกำจัดเชื้อโรค แต่ถ้าการบาดเจ็บนั้นมากเกินไปหรือมีการตอบสนองของร่างกายที่มากไปก็จะทำให้ปวดมากขึ้นได้
กล้ามเนื้อหลังที่บาดเจ็บก็จะมีกระบวนการอักเสบเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม หรือมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อมากขึ้นในบริเวณกล้ามเนื้อหลังที่มีปัญหา
โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลัน นั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด คือ เกิดจากการใช้งานหนักจนมากเกินไป หรือได้รับบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหลัง โดยสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคดังกล่าวนั้นมีทั้งหมด ดังนี้
- เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เกิดจากการใช้งานที่สามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ โดยเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำๆ หรือไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บหรือเกร็งตัวมาก จนเกิดอาการปวดหรืออาการอักเสบ เช่น นั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน นั่งผิดท่า ยกของหนัก ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ โรคออฟฟิศซินโดรม ก็เกิดจากสาเหตุนี้เช่นกัน
- เกิดจากการเล่นกีฬา
การเล่นกีฬานั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ ซึ่งสามารถเกิดได้กับการเล่นกีฬาเกือบทุกประเภท โดยสาเหตุที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บขากการเล่นกีฬา จัดอยู่ทั้งในกลุ่มของการได้รับบาดเจ็บโดยตรง และการใช้งานมากเกินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่มี
พบได้ในกีฬาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น กีฬาที่ก่อให้เกิดแรงกระแทก หรือแรงกดบริเวณกล้ามเนื้อหลัง อย่างการเล่นฟุตบอล บาสเกตบอล และยกน้ำหนัก หรือกีฬาอื่นๆ ที่ผู้เล่นมักเคลื่อนไหวในท่าเดิมซ้ำๆ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อหลังอักเสบยังสามารถเกิดจากการเล่นกีฬาหนักเกินไป เล่นผิดท่า หรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงพอ ทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บจนเกิดอาการอักเสบได้
- เกิดจากอุบัติเหตุ
โรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากอุบัติเหตุ ถือว่าอยู่ในกลุ่มของการได้รับบาดเจ็บเช่นกัน โดยมักจะเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุที่ส่วนหลังจนทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เช่น หกล้มหลังกระแทกพื้น หรือได้รับอุบัติเหตุอื่นๆ ที่โดนส่วนหลัง จนทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บ และเกิดอาการอักเสบตามมา
กล้ามเนื้อหลังอักเสบมีอาการบ่งชี้อะไรบ้าง?
สำหรับอาการต่างๆ ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบ และเป็นอาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง มีดังนี้
- มีอาการปวด
- มีอาการบวม แดง หรือร้อนร่วมด้วย
- กล้ามเนื้อเกร็งตัวขึ้นมาอย่างผิดปกติ
- ไม่สามารถขยับหลังได้ปกติ
- องศาในการขยับตัวลดลง
- ก้มตัว แอ่นตัว หรือบิดตัว จะเกิดความรู้สึกเจ็บ
กลุ่มเสี่ยงต่อกล้ามเนื้อหลังอักเสบที่พบได้บ่อย
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นโรคกล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลันนั้นสามารถพบได้บ่อยในกลุ่มดังต่อไปนี้
- วัยทำงาน เป็นกลุ่มที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน หรือนั่งท่าเดิมๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ง หรือรับบาดเจ็บได้
- นักกีฬา เป็นกลุ่มที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเป็นเวลานาน เพราะต้องขยับ หรือเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา รวมถึง เสี่ยงต่อการได้รับการบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬา หรือกิจกรรมที่มีความโลดโผน
- ผู้ที่ใช้แรงงาน เป็นกลุ่มที่ต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนหลังทั้งวัน เช่น ยกของ ยืน หรือเดินเป็นเวลานานๆ หรือต้องก้มๆ เงยๆ อยู่บ่อยครั้ง อาจทำให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บได้
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ เป็นกลุ่มที่กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะว่ามีน้ำหนักตัวเยอะ และอาจทำให้กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
- ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแอ และบาดเจ็บได้ง่ายกว่าคนที่ยังมีอายุน้อย
การดูแลเบื้องต้นหลังจากปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน
หากอาการปวดกล้ามเนื้อไม่รุนแรง ยังสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ดังนี้
- ประคบร้อน (ยกเว้นช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเจ็บใหม่ๆ ควรประคบเย็น) วันละ 2 - 3 ครั้ง ครั้งละ 15 - 20 นาที ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด คลายกล้ามเนื้อ
- หลีกเลี่ยงท่าทางที่กระตุ้นอาการปวด งดก้ม ยกของหนัก หรือหมุนลำตัวเร็วๆ
- ยืดเหยียดเบาๆ เช่น ท่ายืดคอ ท่าหมุนไหล่ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ
- หากไม่รู้สึกปวดมากจนเกินไป ให้ทำการนวดกล้ามเนื้อเบาๆ
- พักผ่อนให้เพียงพอ ความเครียดสะสมทางจิตใจก็ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งโดยไม่รู้ตัวได้
สัญญาณเตือน! ว่าควรไปพบแพทย์
หากอาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 3 วัน มีอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย ขยับแล้วมีเสียงดัง "ก๊อบแก๊บ" หรือรู้สึกข้อติด ปวดจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
การดูแลรักษาที่ถูกวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญ การบำบัดด้วย “เครื่องมือกายภาพ” ที่ช่วยฟื้นฟูและบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลันได้อย่างตรงจุด ด้วยเทคโนโลยีคลื่นไฟฟ้าความถี่ต่ำ ควบคู่ไปกับการบำบัดด้วยความร้อน จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการฟื้นฟูอาการปวดเฉียบพลันนี้
วิธีการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ
1. การรักษาจุดกดเจ็บ หรือ จุดปวดที่ไวต่อการกระตุ้นของกล้ามเนื้อ (Trigger point)
เป็นการรักษาที่จุดปวดโดยตรง ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อให้สุดพิสัยการเคลื่อนไหว หรือเกินสมรรถภาพการงอและเหยียดของข้อ ได้แก่
- การฉีดยาชาเฉพาะที่ ตรงจุดกดเจ็บของกล้ามเนื้อ หรือการฝังเข็มรักษาอาการปวด
- การฉีดสเปรย์ยาชา (Ethyl Chloride) ที่จุดกดเจ็บและบริเวณที่มีอาการปวดร้าวแผ่ไปถึง และตามด้วยการยืดเนื้อกล้าม
- การนวดกดจุดบริเวณจุดกดเจ็บของกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนช่วยในการเคลื่อนไหวเส้นใยกล้ามเนื้อ ทำให้จุดปวดคลายตัวและลดปวดได้
- การใช้ความร้อน เช่น กระเป๋าน้ำอุ่น ประคบบริเวณจุดกดเจ็บ เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด หรืออาจใช้เครื่องมือไฟฟ้าทางกายภาพ เช่น เครื่องอัลตราซาวน์ เครื่องกระตุ้นปลายประสาทพื้นผิว (TENS)
- การใช้ยาแก้ปวด ยาต้านการอับเสบที่มีใช้สเตียรอยด์ และยากลุ่มอื่น เช่น ยาลดการซึมเศร้า วิตามินซี วิตามินบี 1-6-12 กรดโฟลิค เป็นต้น
- การออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหว หรือสมรรถภาพของการงอและเหยียดของข้อ โดยการเหยียดยืดกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงและความคงทนของกล้ามเนื้อ และเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- การผ่อนคลายทางจิตใจ เช่น การนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
2. การแก้ไขปัจจัยเสริมตามสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่
- ปัจจัยทางด้านกลศาสตร์ ที่เกิดจากการประกอบอาชีพหรือจากการทำงาน รวมทั้งการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
- ปัจจัยจากภาวะผิดปกติของร่างกาย จากสาเหตุต่าง ๆ เช่นภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะเอมไซด์ที่ทำงานร่วมในการให้พลังงานของกล้ามเนื้อ เช่น วิตามินบี 1-6-12 วิตามินซี กรดโฟลิก
- ภาวะความบกพร่องของต่อมไร้ท่อ หรือทางเมตาบอลิซึม เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ
- ภาวะการติดเชื้อเรื้อรัง หรือภาวะความผิดปกติของข้อ ทำให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อรอบข้อนั้นไว้นาน
- ภาวะเครียดหรือซึมเศร้า อาจจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค การนอนไม่หลับ เป็นต้น
3. การรักษาด้วยตนเองอ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่
- ใช้ความร้อนประคบนาน 10-15 นาที วันละ 2-3 ครั้ง
- ใช้นิ้วหัวแม่มือวางตั้งฉากกับจุดกดเจ็บ แล้วกดด้วยแรงขนาดที่ปวดพอทนได้ กดค้างไว้ 1/2 -1 นาที จึงผ่อน ทำติดต่อกัน 4 -5 รอบ วันละ 2-3 ครั้ง
- ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อกลุ่มที่มีปัญหา ตามลักษณะและทิศทางการจัดเรียงตัว โดยยืดออกช้า ๆ ให้ให้ได้มากที่สุดค้างไว้ อย่างน้อย 15 วินาที จึงผ่อน ทำติดต่อกัน 5-10 รอบทุก 2-3 ชั่วโมง
- พักหรือหลีกเลี่ยงการใช้งานกล้ามเนื้อที่มีปัญหาไม่ให้ทำงานหนักสักระยะหนึ่ง
- ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ถูกต้อง หลีกเลี่ยงท่าที่ก่อให้เกิดอาการปวด หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ
อ้างอิง: โรงพยาบาลนครธน ,โรงพยาบาลเปาโล ,โรงพยาบาลเฉพาะทางกระดูกและข้อ ข้อดีมีสุข







