สัญญาณเตือน 'อัมพาตเฉียบพลัน (Stroke)' วิธีรับมืออย่างทันท่วงที

เคยหรือไม่? "อยู่ดีๆ พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หรือหน้าเบี้ยว... ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!" เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันว่า "สโตรก" (Stroke)
KEY
POINTS
- วิธีสังเกตอาการเบื้องต้น ได้แก่ ใบหน้ามีอาการชา หรือมุมปากตกข้างหนึ่ง แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือพูดแล้วคนรอบข้างฟังไม่เข้าใจ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นโรคที่แสดงอาการแบบเฉียบพลัน ทันทีที่ผู้ป่วยมีอาการ Stroke ญาติหรือคนใกล้ชิดต้องรีบพาตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด
- ผู้ป่วยจำเป็นอย่างมากที่ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้กลับมาเป็น Stroke ซ้ำสอง ทั้งการดูแลโรคประจำตัว รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
เคยหรือไม่? "อยู่ดีๆ พูดไม่ชัด แขนขาไม่มีแรง หรือ หน้าเบี้ยว... ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!" เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง หรือที่เรียกกันว่า "สโตรก" (Stroke)
ภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเมื่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองถูกขัดขวางอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้เซลล์สมองเสียหายถาวรหรือเกิดอาการอัมพาตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
กระทรวงสาธารณสุข รายงานข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ปี 2567 ของระบบรายงานฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) พบว่า โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็ง พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสะสม 358,062 คน และเสียชีวิต 39,086 คน ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ป่วยและเสียชีวิตสูงสุด โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น ในปี 2563 – 2565 พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่กว่า 2,000 คนต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
นวัตกรรม 'หลอดเลือดสมอง' เพิ่มอัตราการรอด ลดความพิการ เสียชีวิต
โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มี 2 ชนิด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้จาก2สาเหตุหลัก ได้แก่
1. โรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเกิดจากลิ่มเลือดหรือคราบไขมันที่อุดตันหลอดเลือดสมอง
2. โรคหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งส่วนใหญ่ภาวะนี้มักสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้แก่
- เบาหวาน
- ไขมันในเลือดสูง
- การสูบบุหรี่
- โรคหัวใจ
- โรคอ้วน
- การขาดการออกกำลังกาย
- ประวัติครอบครัวที่มีโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองตืบตัน หรือ Ischemic Stroke เกิดจากการสะสมของไขมัน หรือหินปูนบริเวณผนังหลอดเลือดชั้นใน จนทำให้ขนาดของหลอดเลือดค่อยๆ แคบลงหรือตีบ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการลำเลียงเลือดลดลง และรวมถึงสาเหตุจากการปริแตกของคราบไขมันบริเวณผนังหลอดเลือด ทำให้ลิ่มเลือดมาเกาะและเกิดเป็นภาวะหลอดเลือดอุดตันได้ในที่สุด
โรคหลอดเลือดสมองแตก หรือ Hemorrhagic Stroke ทันทีที่ผนังหลอดเลือดปริแตก เซลล์สมองจะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทันที ส่งผลต่อเนื้อสมองโดยตรง และภายในระยะเวลาไม่นานเนื้อสมองจะตายลง ทำให้ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันสั้น เป็นภาวะที่พบได้มากในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีหลอดเลือดโป่งพอง โรคตับ และโรคเลือดผิดปกติ
สัญญาณเฉียบพลัน บอกว่าคุณกำลังเป็น Stroke
วิธีสังเกต อาการ Stroke เบื้องต้น อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และสามารถจำได้ง่ายด้วยหลัก FAST ได้แก่
- F (Face) – ใบหน้ามีอาการชา หรือมุมปากตกข้างหนึ่ง
- A (Arm) – แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
- S (Speech) – พูดไม่ชัด หรือพูดแล้วคนรอบข้างฟังไม่เข้าใจ
- T (Time) – หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน
นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ บ้านหมุน สูญเสียการทรงตัว เห็นภาพซ้อน หรือปวดศีรษะรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ ควรรีบขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด
Stroke เป็นโรคที่มี “เวลา” เป็นคู่แข่งในการรักษาชีวิต ซึ่งแตกต่างจากโรคชนิดอื่นๆ ที่มีอาการผิดปกติฟ้องจากร่างกาย ทั้งยังสามารถประคับประคองและควบคุมความรุนแรงได้ ในขณะที่ Stroke มักมาด้วยอาการเฉียบพลันแบบทันทีทันใด
วิธีรับมือเมื่อมีสัญญาณเตือน "อัมพาตเฉียบพลัน"
วิธีรับมือเบื้องต้น อาการข้างต้นมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นชั่วขณะ หรือดีขึ้นเอง เมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการใกล้เคียงโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบโทรแจ้งสายด่วนแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ทันที
"การรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์ประเมินและรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อความรุนแรงของภาวะทุพพลภาพได้ ห้ามให้ยาแอสไพรินหรือยาอื่นๆ โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้ในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก"
เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นโรคที่แสดงอาการแบบเฉียบพลัน ทันทีที่ผู้ป่วยมีอาการ Stroke ญาติหรือคนใกล้ชิดต้องรีบพาตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้ไวที่สุด เพราะการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย เพื่อแยกชนิดของโรคหลอดเลือดสมองว่าเป็นชนิดแตกหรือตีบให้เร็วที่สุด
ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก แพทย์ต้องรีบทำการผ่าตัดคนไข้โดยเร็วที่สุด แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ ต้องรีบดำเนินการเพื่อเปิดหลอดเลือดให้เร็วที่สุด โดยผู้ป่วยต้องได้รับการฉีดยาละลายลิ่มเลือดภายในระยะเวลา 4.30 ชั่วโมง หากเกินเวลาช่วงดังกล่าว หรือหากฉีดยาละลายลิ่มเลือดไม่ได้ผล แพทย์จะใช้ทางเลือกรักษาโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยต่อไป เพื่อลดเลี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต และเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต ดังนี้
ให้ยาละลายลิ่มเลือดแดงโดยใช้สายสวน (Intra Arterial Thrombolysis) สำหรับผู้ป่วยที่มาช้าเกินกว่า 3 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 6 ชั่วโมง หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่และใช้ยาละลายลิ่มเลือดดำไม่ได้ผล แพทย์จะทำการใส่สายสวนเข้าทางหลอดเลือดแดงไปที่ก้อนลิ่มเลือด และใส่ยาโดยตรงที่ลิ่มเลือดนั้น
ใส่สายสวนลากก้อนเลือด (Clot Retrieval) สำหรับผู้ป่วยที่มารักษาช้า แต่ไม่เกิน 8 ชั่วโมง โดยแพทย์จะทำการใส่สายสวนผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบไปจนถึงตำแหน่งที่มีลิ่มเลือดอุดตันอยู่ แล้วจึงใส่ขดลวดขนาดเล็กพิเศษ ทำการคล้องและลากลิ่มเลือดที่อุดตันออกมา
ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดแดง (Carotid Stenting) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของสมองขาดเลือดและตรวจพบหลอดเลือดตีบมากกว่า 50% แต่ไม่สามารถได้เข้ารับการผ่าตัดได้ แพทย์จะใช้ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดแดงจากบริเวณขาหนีบหรือรักแร้ โดยจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง จึงเป็นวิธีรักษาที่มีแค่ในเฉพาะโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่เท่านั้น
แนวทางการรักษาทางการแพทย์ เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการวินิจฉัยและให้การรักษาตามประเภทของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดขึ้น ซึ่งมี 2 ประเภทหลักคือ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Ischemic Stroke) หรือ โรคหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
หากเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ อาจได้รับการรักษาด้วย ยาสลายลิ่มเลือด (tPA) หรือทำหัตถการขยายหลอดเลือดด้วยสายสวน ในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก อาจต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อหยุดเลือดออกและลดแรงดันในสมอง การรักษาอย่างรวดเร็วภายใน 3-4 ชั่วโมงแรกมีผลต่อการลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วยอย่างมาก
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ไม่กลับไปเป็นซ้ำ
เนื่องจาก Stroke หรือโรคหลอดเลือดสมอง ยังเป็นโรคที่ผู้ป่วยสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ผู้ป่วยจึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้กลับมาเป็น Stroke ซ้ำสอง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโรคประจำตัว รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ พบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น งดอาหารที่มีไขมันสูง งดอาหารเค็มจัด งดแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ อาทิ เช่น การลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ลดอาหารเค็ม และการงดสูบบุหรี่ นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรได้รับการตรวจสุขภาพและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถควบคุมโรคและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด การสังเกตอาการและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ การดูแลสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคนี้ ดังนั้น ทุกคนควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของตนเอง และเรียนรู้วิธีสังเกตอาการของโรคหลอดเลือดสมองเพื่อสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง:โรงพยาบาลนวเวช ,โรงพยาบาลพญาไท