'ยา -ผลิตภัณฑ์การแพทย์'ไม่กระทบ ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย36%

ผลจาก“โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% มีผลบังคับใช้ในวันที่9 เมษายน 2568
KEY
POINTS
- ผลกระทบต่อภาคภาคอุตสาหกรรมยา– เครื่องมือแพทย์ของไทยโดยตรงนั้นอาจจะไม่มากนัก
- เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกสินค้ากลุ่มยาและเครื่องมือแพทย์ไปยังสหรัฐอเมริกาน้อยมาก และยังเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้น เพราะเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต
- ไทยต้องพึ่งพายาจากต่างประเทศ และสหรัฐฯ จำนวนมาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและรอบคอบ
ผลจาก“โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 36% มีผลบังคับใช้ในวันที่9 เมษายน 2568สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ประชุมกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฉุกเฉินด่วนในวันที่ 4 เม.ย.2568เพื่อหารือถึงผลกระทบ และแนวทางการเตรียมรับมือ
โดยในส่วนของ“ภาคอุตสาหกรรมยา– เครื่องมือแพทย์”ส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้รับกระทบเนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นได้รับข้อยกเว้นที่สำคัญไทยส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยมาก
ปัจจุบัน ส.อ.ท.มีสมาชิก 47 กลุ่มอุตสาหกรรมสำหรับสินค้าที่จะได้รับผลกระทบมากนั้นจะเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่าสูง ๆ โดย 15 สินค้าแรกที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มาก ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.ชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์ 3.ยางรถยนต์ 4.เซมิคอนดักเตอร์ 5.หม้อแปลงไฟฟ้า 6.ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ 7.ชิ้นส่วนรถยนต์ 8.อัญมณี 9.เครื่องปรับอากาศ 10.กล้องถ่ายรูป 11.เครื่องปริ้นเตอร์ 12.วัตถุดิบอาหารสัตว์ 13.แผงวงจรอิเลกทรอนิกส์ 14.ข้าว และ 15. ตู้เย็น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ส.อ.ท.คาดมูลค่าเสียหายหลังสหรัฐขึ้นภาษี 8-9 แสนล้านบาท
'วันอ้วนโลก' เกือบ 1 พันล้านคนเผชิญโรคอ้วน แนะปรับ 5 พฤติกรรมเสี่ยง
ยา– เครื่องมือแพทย์ได้รับผลกระทบไม่มาก
“ภก. สุรชัย เรืองสุขศิลป์”ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยาส.อ.ท. ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า การขึ้นอัตราภาษีโต้ตอบของสหรัฐฯ ไม่มีผลต่อการส่งออกยาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพราะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็น ได้รับการยกเว้น อีกอย่างไทยส่งออกไปน้อยมากอันนี้พูดในแง่ของสินค้าที่เราส่งออก ส่วนสินค้านำเข้าก็ต้องรอดูว่าจะการเจรจาตกลงทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร
“ในการประชุมมีการประเมินว่าผลกระทบต่อภาคภาคอุตสาหกรรมยา– เครื่องมือแพทย์ของไทยโดยตรงนั้นอาจจะไม่มากนักเนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกสินค้ากลุ่มยาและเครื่องมือแพทย์ไปยังสหรัฐอเมริกาน้อยมาก และยังเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้น เพราะเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ที่ประชุมได้มอบหมายให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไปจัดทำรายละเอียด เพื่อนำเสนอให้รัฐบาลใช้เป็นข้อมูลประกอบในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”
อุตสาหกรรมยาไทยอัตราเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมยาของไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุน จากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ แนวโน้มการใส่ใจดูแลสุขภาพของคนไทย และ ตัวเลขของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งต้องการยาที่มีคุณภาพมาทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีความต้องการจากตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจากปัจจัยที่กล่าวมานี้ทำให้อุตสาหกรรมยาของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต
โอกาสของอุตสาหกรรมยาในไทยมีศักยภาพสูง ทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา พร้อมการยอมรับในมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศ พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมยาไปสู่ New S-Curve เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และก้าวไปสู่การเป็น Medical Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะช่วยดึงเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
ข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรระบุภาพรวมตลาดยาในประเทศในปี 2023 มีมูลค่า 2.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการนำเข้า 70% คิดเป็นมูลค่า1.68 แสนล้านบาท และผลิตขึ้นใช้เองภายในประเทศ 30% หรือ 72,000ล้านบาท โดยมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 11% แบ่งเป็นช่องทางโรงพยาบาล 171,360 ล้านบาท คิดเป็น71.4% เติบโต 15% และช่องทางร้านขายยา 48,000 ล้านบาท คิดเป็น20% หรือเติบโตปีละ 5% ส่วนเวชสำอาง วิตามินและอาหารเสริมมีมูลค่า 20,640 ล้านบาท คิดเป็น8.6% หรือ เติบโต 2%
ขณะที่ข้อมูล IQVIA Quarter 3/2023 ระบุถึงแนวโน้มตลาดยาภายในประเทศอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศมีการเติบโตในอัตราปีละ 11% นับเป็นอุตสาหกรรมไม่กี่ประเภทที่เติบโต 2 Digit เนื่องจากเป็นอุุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นสำหรับมนุษย์
แม้ว่าในระยะสั้น ผลกระทบต่อสาธารณสุขไทยอาจจะยังไม่ชัดเจน แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลจากการเจรจาทางการค้าในอนาคต ที่หลายฝ่ายมีความกังวล กรณีการนำเข้ายาและเวชภัณฑ์อาจมีราคาสูงขึ้น หากสหรัฐฯ สามารถกดดันให้ไทยนำเข้ายาและเวชภัณฑ์จากสหรัฐฯ มากขึ้น ในขณะที่สินค้าเหล่านั้นมีราคาสูง ก็อาจส่งผลให้ต้นทุนด้านสาธารณสุขของไทยสูงขึ้น
รวมทั้งข้อจำกัดในการเข้าถึงยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ หากมีการกำหนดเงื่อนไขทางการค้าที่ซับซ้อน อาจทำให้การเข้าถึงยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ จากสหรัฐฯ เป็นไปได้ยากขึ้น แรงกดดันต่ออุตสาหกรรมยาในประเทศหากต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่อาจมีเงื่อนไขพิเศษ ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาภายในประเทศได้เพราะไทยต้องพึ่งพายาจากต่างประเทศ และสหรัฐฯ จำนวนมาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังและรอบคอบ







