เด็ก GenZ เสพโซเชียลมีเดียหนัก สศช.เตือนเสี่ยง 'สุขภาพจิต' เสียหาย

รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 เรื่องผลกระทบของการใช้สมาร์ตโฟนต่อสุขภาพจิตของ Gen Z : บทเรียนจากต่างประเทศ
KEY
POINTS
- กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดีย โดยการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันของคนกลุ่มนี้มากถึง 12 ชั่วโมง 8 นาที ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาพรวมทุกกลุ่มวัยที่อยู่ที่ 11 ชั่วโมง 25 นาที
- กว่า 53% ของกลุ่มGenZ ระบุว่า การใช้โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านจิตใจ และ 58% โซเชียลมีเดียสร้างแรงกดดันและเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น
- ครอบครัวและสถานศึกษาต้องเข้ามามีบทบาทในการป้องกันและควบคุมเพื่อลดผลเสียของการใช้สมาร์ตโฟน และอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเด็กและเยาวชน
รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 เรื่องผลกระทบของการใช้สมาร์ตโฟนต่อสุขภาพจิตของ Gen Z : บทเรียนจากต่างประเทศ ซึ่งเปิดเผยเมื่อวานนี้ (26 ก.พ.2568) "ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ" สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า GenZ เป็นเจเนอเรชันแรกที่เกิดและเติบโตท่ามกลางยุคดิจิทัลที่ได้พัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ต รวมถึงมีการเกิดขึ้นอย่างหลากหลายของสื่อโซเชียลมีเดีย
จากข้อมูลการสำรวจการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 3 ของปี 2567 พบว่า กลุ่ม GenZ 99.1% มีและใช้มือถือสมาร์ตโฟน และ 99% มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงกว่าทุกกลุ่มอายุ อีกทั้งกลุ่ม Gen Z 34% ยังมีการใช้แท็บเล็ตร่วมด้วย
โดยอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารประจำวัน โดย Agenda ปี 2567 พบว่า เนื้อหาที่กลุ่ม Gen Z บริโภคผ่านสื่อโซเชียลมีเดียมักเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง การท่องเที่ยวที่สามารถสร้างรายได้ควบคู่กัน และการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ผลกระทบการใช้โซเชียลมีเดียกลุ่มGen Z
ทั้งนี้ GenZ ยังใช้โซเชียลมีเดียในการติดตามสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ รวมถึงการสื่อสารที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต (Lifestyle) แบบคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มที่กลุ่ม Gen Z ใช้งานสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Youtube 89% Facebook 88% Tiktok 78% Instagram 73% X 48%
สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดีย โดยการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันของคนกลุ่มนี้มากถึง 12 ชั่วโมง 8 นาที ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาพรวมทุกกลุ่มวัยที่อยู่ที่ 11 ชั่วโมง 25 นาที
การใช้โซเชียลมีเดียของกลุ่ม Gen Z สามารถส่งผลกระทบหลายด้าน โดยรายงาน Digital Insights Thailand ปี 2567 พบว่า กลุ่ม Gen Z 75% ระบุว่า โซเชียลมีเดียช่วยให้ไม่ตกเทรนด์ใหม่ ๆ และ 45% ยอมรับว่า โซเชียลมีเดียช่วยให้มีตัวตนและได้รับการยอมรับมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การอยู่กับสังคมออนไลน์ตลอดเวลา มีแนวโน้มที่จะทำให้กลุ่ม GenZ ได้รับผลกระทบทางลบจากโซเชียลมีเดียมากกว่ากลุ่มวัยอื่น โดยกว่า 53% ของกลุ่มนี้ ระบุว่า การใช้โซเชียลมีเดียส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้านจิตใจ และ 58% โซเชียลมีเดียสร้างแรงกดดันและเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่เมื่อพิจารณาความสามารถในการเลิกใช้โซเชียลมีเดียของตนเอง กลับพบว่า 44% ระบุว่าค่อนข้างยาก และอีก 18% ระบุว่ายากมาก
GenZ หลายประเทศ สุขภาพจิตแย่จากโซเซียลมีเดีย
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นในหลายประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ พบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่พึ่งพาโซเชียลมีเดียยากมากขึ้น และโซเชียลมีเดียส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจิต มีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและการถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ รวมทั้งทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ มีอาการซึมเศร้าและขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงที่เกิดการเปรียบเทียบรูปลักษณ์และเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเอง
เช่นเดียวกับ ประเทศจีน ข้อมูลรายงานของ BMC Psychology36 ปี 2567 ระบุว่า การรับชมเนื้อหาที่ประสบความสำเร็จของคนบนโซเชียลมีเดีย ทำให้กลุ่ม Gen Z วัยเรียนชาวจีนเกิดทัศนคติ “สามารถพัฒนาทักษะหรือประสบความสำเร็จได้จากความพยายาม” แบบไม่รู้ตัว รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ไม่ยั่งยืนอย่างการเรียนหนักเกินไปจนเกิดภาวะหมดไฟ
ขณะที่ ประเทศสหรัฐ จากการศึกษาของ Jonathan Haidt จากมหาวิทยาลัย New York ในปี 2024 ที่ได้ทำการศึกษาปัญหาการใช้สมาร์ตโฟนและการเข้าถึงโซเชียลมีเดียต่อโรคทางจิตเวชของเด็ก Gen Z ในสหรัฐ พบว่า การใช้สมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อเด็ก Gen Z ใน 4 ด้าน คือ การกีดกันการสร้างสังคมในชีวิตจริง การกีดกันช่วงเวลานอนทั้งปริมาณและคุณภาพ การทำให้เสียสมาธิ การทำให้เสพติดโซเชียลมีเดีย ผลกระทบทั้ง 4 ด้านเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพจิต
มาตรการคุมโซเชียลมีเดียประเทศต่างๆ
ภาครัฐของประเทศต่างๆ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และออกมาตรการในการจัดการ อาทิ 1. การจำกัดอายุ โดยประเทศออสเตรเลีย มีมติผ่านร่างกฎหมาย The Online Safety Amendment (Social Media Minimum Age) Bill 2024 (the Bill) เพื่อปกป้องสุขภาพจิตและร่างกายของเยาวชนออสเตรเลีย โดยกำหนดอายุขั้นต่ำในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไว้ที่ 16 ปี คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในสิ้นปี 2025
2. การควบคุมเนื้อหา โดยประเทศอังกฤษ มีกฎหมาย The Online Safety Act 2023 (the Act) ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องดำเนินการป้องกันและจัดการกับเนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ ที่มีกฎหมาย Protection from Harassment Act (POHA) ในการแก้ปัญหา Doxing และ Cyberbully ซึ่งกำหนดโทษปรับเป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (100,000 บาท) หรือจำคุก 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้น
3. การจำกัดระยะเวลาใช้งาน ประเทศจีน ออกแนวปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์พกพาสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งได้กำหนดให้เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่เด็กอายุ 16-18 ปี สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน ตั้งแต่เวลา 22.00 น. จนถึง 06.00 น. ของอีกวัน ยกเว้นแอปพลิเคชันที่จำเป็น หรือได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครอง
4. การเพิ่มความปลอดภัยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยประเทศสหรัฐ ในรัฐแคลิฟอร์เนียมีร่างกฎหมาย California Age - Appropriate Design Code Act (CAADCA) ที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนที่ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
"ครอบครัว"ต้องเป็นต้นแบบใช้โซเซียลมีเดีย
สำหรับประเทศไทย มาตรการของรัฐเพียงอย่างเดียวอาจดำเนินการได้อย่างจำกัด ซึ่งครอบครัวและสถานศึกษาต้องเข้ามามีบทบาทในการป้องกันและควบคุมเพื่อลดผลเสียของการใช้สมาร์ตโฟน และอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเด็กและเยาวชน
โดยสถาบันครอบครัวควรเป็นต้นแบบที่ดีในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากพฤติกรรมที่ถูกต้อง อาทิ หลีกเลี่ยงการใช้สมาร์ตโฟนขณะรับประทานอาหารหรือสนทนาภายในครอบครัว การไม่โพสต์ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกบนโซเชียลมีเดียมากเกินไป
รวมถึงต้องสื่อสารและสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน โดยเปิดโอกาสให้ลูกพูดคุยแบบเป็นมิตรเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดีย แทนการตั้งข้อสงสัยหรือตำหนิอย่างรุนแรง ที่อาจทำให้เด็กปิดกั้น ไม่กล้าปรึกษาเมื่อมีปัญหา และการกำหนดกฎเกณฑ์พร้อมอธิบายเหตุผลที่เหมาะสม
ส่วนสถาบันการศึกษา ควรมีบทบาทสำคัญสร้างความตระหนักรู้ให้กับนักเรียน Gen Z เพื่อให้สามารถใช้โซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะด้านจริยธรรมในการใช้โซเชียลมีเดีย (Digital Ethics) ในการเคารพสิทธิของผู้อื่น ใช้โซเชียลมีเดียสร้างสรรค์ และต้องบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการเรียนการสอนที่มีเนื้อหา อาทิ การวิเคราะห์ข่าวปลอม หรือการจัดกิจกรรม “วันปลอดโซเชียล” (Social Media Detox Day) เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เวลาอย่างสมดุล







