สมุนไพรต้านอากาศหนาว ดีต่อระบบหายใจ สู้ฝุ่นPM2.5

สมุนไพรต้านอากาศหนาว ดีต่อระบบหายใจ สู้ฝุ่นPM2.5

ตามหลักและทฤษฎีของศาสตร์การแพทย์แผนไทย ในช่วงอากาศหนาวมักจะส่งผลให้ธาตุน้ำในร่างกายเกิดความแปรปรวนหรือเสียสมดุลได้ง่าย

KEY

POINTS

  • สถานการณ์ "ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน" กลับมาสร้างปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนอีกครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และคนไทยโดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ เผชิญกับฝุ่นPM2.5 ไปอีกหลายวัน
  • สมุนไพรที่ต่อสู้ฝุ่นPM2.5 หรือป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจได้แก่ ขมิ้นชัน หญ้าดอกขาว รางจืด  มะขามป้อม อาหารสีขาวธรรมชาติ อาทิ สาลี่ หัวไซเท้า หรือสมหวัง ตามตำราแพทย์แผนจีน
  • อากาศหนาวสามารถต้านได้ด้วยสมุนไพรจีน ได้แก่ ตังเซียม โต่วต๋ง  อบเชยจีน ขิงแห้ง และดีปลี

ตามหลักและทฤษฎีของศาสตร์การแพทย์แผนไทย ในช่วงอากาศหนาวมักจะส่งผลให้ธาตุน้ำในร่างกายเกิดความแปรปรวนหรือเสียสมดุลได้ง่าย ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือร่างกายไม่สามารถปรับตัวตามสภาพอากาศได้ทัน จึงทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับธาตุน้ำ เช่น หวัด น้ำมูกไหล ภูมิแพ้อากาศ หากติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ จะทำให้อาการของโรครุนแรงมากยิ่งขึ้น

ผลจากการแปรปรวนของธาตุน้ำ จะทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก เกิดอาการไอ จาม คัดจมูก ท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ส่งผลต่อธาตุไฟในร่างกายเสียสมดุลไปด้วย เกิดอาการไข้ เจ็บคอหรือเกิดอาการอักเสบตามมาซึ่งสมุนไพรที่นำมาแนะนำจะเป็นสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว รสขม และรสเผ็ดร้อน

  • สมุนไพรรสเปรี้ยว จะช่วยขับเสมหะ บรรเทาอาการไอ เช่น  ชะมวง มะขามป้อม มะเขือพวง
  • สมุนไพรรสขม แก้ไข้เจริญอาหาร นอนหลับสบาย เช่น ดอกแค ขี้เหล็ก
  • สมุนไพรรสเผ็ดร้อน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี เพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายเช่น กะเพรา หอมแดง ขิง ผักชี กระชาย พริกไทย

อีกทั้งในศาสตร์การแพทย์แผนไทยยังมีวิธีการรักษาอาการทางระบบทางเดินหายใจ นั่นก็คือ “การสุมยา” โดยการนำสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยมารวมกัน แล้วใช้ความร้อนจากน้ำร้อนเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในตัวยาระเหยออกมาเพื่อลดอาการหวัดคัดจมูก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

สำรับไทย 'อาหารถิ่นอรัญญิก' ท่องเที่ยววิถีชุมชนสร้างเศรษฐกิจฐานราก

ทำไม“ยาดมโป๊ยเซียน”ถึงครองใจผู้ใข้ได้ถึง 88 ปี

สมุนไพรต่อสู้ฝุ่นพิษ PM2.5

ขณะที่ตอนนี้สถานการณ์ "ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน" กลับมาสร้างปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนอีกครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และคนไทยโดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียงที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรม เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร เผชิญกับฝุ่นPM2.5 ไปอีกหลายวัน

ท่ามกลางปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก “PM 2.5” ที่คนไทยกำลังเผชิญ  หากไม่รับมือและป้องกันดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ อาจก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงในโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ และหากสะสมระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มาให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรที่จะสามารถใช้ต่อสู้กับฝุ่นPM2.5

1.ขมิ้นชัน (Tumeric)

สมุนไพรยอดนิยม เป็นพืชที่มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อของเหง้ามีสีเหลืองเข้มไปจนถึงสีแสด เอกลักษณ์เด่นชัด คือ รสชาติจัดจ้านมีสรรพคุณหลายด้าน ขมิ้นชันมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันเยื่อบุทางเดินหายใจให้แข็งแรงขึ้น นำมากินสดๆ หรือผลแห้ง

ปัจจุบันมีการทำเป็นผงบรรจุแคปซูลทำให้รับประทานง่าย นอกจากนี้ขมิ้นชันยังช่วยระบบลำไส้ทำงานได้ดี ขับถ่ายดี และทำให้ผิวพรรณสดใส แต่มีข้อระวังและข้อห้ามในผู้ป่วย “ท่อน้ำดีอุดตัน” “นิ่วในถุงน้ำดี” หากต้องการใช้ควรปรึกษาแพทย์

สมุนไพรล้างพิษ ลดคาร์บอนมอนอกไซด์ที่คั่งค้างในปอด

2.หญ้าดอกขาว (Little Ironweed)

พืชต้นเล็กแต่มีสรรพคุณมากมาย มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า หมอน้อย หรือหญ้าละออง ถือเป็นตัวถอนพิษ เนื่องจากมีงานวิจัยรองรับว่าสามารถช่วยลดคาร์บอนมอนอกไซด์ที่คั่งค้างในปอดของผู้สูบบุหรี่ได้ดี สามารถนำหญ้าดอกขาวมาล้างทำความสะอาดตามความเหมาะสม ผึ่งลมให้แห้งแล้วนำมาอบความร้อนด้วยอุณหภูมิ 40-45 องศาเซลเซียส นาน 4-6 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะแห้ง จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดบรรจุซองเยื่อกระดาษ ซองละ 1 กรัม หรือห่อผ้าขาวใส่น้ำร้อน ดื่มเป็น “ชาหญ้าดอกขาว” จิบหลังอาหาร แต่ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไตต้องล้างไต ต้องระวัง เนื่องจากยาหญ้าดอกขาวมีโพแทสเซียม (เกลือในร่างกาย) สูง

ข้อควรระวัง หญ้าดอกขาว

ดร.ภญ.ดวงแก้ว ปัญญาภู รองผู้อำนวยการกองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ชาหญ้าดอกขาว เป็นสมุนไพรที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ถ้ามีอาการระคายเคืองทางเดินหายใจจากภาวะฝุ่นพิษใช้แบบชาชงหลังอาหารวันละ  3 – 4 ครั้ง แต่มีข้อควรระวังเนื่องจากในหญ้าดอกขาวมีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไตต้องใช้อย่างระวัง ส่วนรางจืด โดดเด่นเรื่องการแก้พิษ ล้างพิษ สามารถนำมาใช้ได้ 2 -3 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารควรระวังผู้ป่วย ตับ ไต ใช้อย่างระมัดระวัง มะขามป้อมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงลดการอักเสบ การระคายเคือง บรรเทาอาการไอ รับประทานได้ทั้งแบบผลสด ผลแห้ง และชาชง  ขมิ้นชัน สารเคอร์คิวมินในขมิ้นชัน สามารถป้องกันการทำลายเซลล์ระบบทางเดินหายใจ  จึงรับประทานขมิ้นชันในช่วงที่มีมลพิษทางอากาศได้ ครั้งละ 2 แคปซูล  วันละ 3 – 4 ครั้ง แต่ต้องไม่เกิน 9 กรัม / วัน และไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีท่อน้ำดีอุดตัน และนิ่วในถุงน้ำดี

3.รางจืด (Laurel Clockvine)

อีกหนึ่งสมุนไพรที่โดดเด่นเรื่องการล้างพิษเช่นเดียวกับหญ้าดอกขาว เป็นพืชที่พบหาง่าย ขึ้นง่าย ปลูกได้ทุกที่ รางจืดเป็นสมุนไพรไทยที่ได้รับฉายา “ราชายาแก้พิษ” ช่วยแก้ร้อนแก้เย็น แก้ร้อนในได้ด้วย รางจืดสามารถปกป้องอวัยวะจากสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว จากการสูดดมเข้ามาสะสมในร่างกายและคั่งค้าง ช่วยขับพิษได้ นำมาชงดื่มเป็นชา หรือกินเป็นเม็ดแคปซูล ผู้ป่วยโรคตับ ไต ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และต้องระวังปริมาณในการรับประทานด้วย

4. มะขามป้อม (Indian Gooseberry)

สามารถนำมากินได้ทั้งสดและแห้ง ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นชาชงมะขามป้อม มีงานวิจัยระบุไว้ว่า ช่วยลดผลกระทบจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide) หรือ SO2 เป็นก๊าซที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อันเป็นแหล่งกำเนิดของ PM 2.5 มะขามป้อมช่วยขับเสมหะ บำรุงเส้นเสียง รักษาหลอดลมอักเสบ ซึ่งดีต่อระบบหายใจ ปัจจุบันไทยนิยมนำมะขามป้อมมาทำยาหลายตัวและทำสารสกัดเพื่อสุขภาพ ทำให้ต้องนำเข้ามะขามป้อมจากอินเดีย เพราะในไทยมีไม่เพียงพอ

5. อาหารสีขาวธรรมชาติ ตามตำราแพทย์แผนจีน

ซึ่งช่วยบำรุงปอด อาทิ สาลี่ ตำรับแพทย์แผนจีน มีฤทธิ์ช่วยแก้กระหายน้ำ คอแห้ง แก้ไอ ขับเสมหะ ดีต่อระบบทางเดินหายใจ, หัวไชเท้า ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยได้ดี, สมหวัง หรือชื่อเดิมว่า “แห้ว” แก้ไอ เจ็บคอ แก้ไขปัญหาเสมหะจากลมร้อนภายนอกมากระทบ นอกจากนี้ข้อแนะนำตามแพทย์แผนจีนให้ฝึกลมหายใจชี่กง ช่วยให้เส้นลมปราณไหลเวียนได้ดี มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ

สมุนไพรต้านอากาศหนาว

พจ.รณกร โลหะฐานัส คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก  มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าตามตำราแพทย์จีน ความเย็น เป็นลมฟ้าอากาศหลักในฤดูหนาว ในฤดูหนาวมีโอกาสป่วยจากความเย็นได้ง่าย ถ้ารักษาความอบอุ่นของร่างกายไม่เพียงพอ เช่น อยู่ในที่มีอากาศหนาวเย็นเกินไป สวมใส่เสื้อผ้าบางเกินไป โดนฝน แช่อยู่ในน้ำเย็นนานเกินไป จะมีโอกาสเจ็บป่วยจากความเย็นได้ง่าย

คุณสมบัติของความเย็นและการเกิดโรค

ความเย็นชอบทำลายหยาง ความเย็นเป็นอิน ปกติลมปราณอินจะถูกควบคุมด้วยลมปราณหยาง อินเพิ่มทำให้หยางป่วย เกิดจากลมปราณอินเพิ่มขึ้นและย้อนไปข่มหยาง ลมปราณหยางไม่สามารถสร้างความอบอุ่นเป็นพลังผลักดันการทำงานของร่างกายจึงเกิดกลุ่มอาการเย็น เช่น

  • ถ้าความเย็นมากระทบที่ส่วนนอกของร่างกายผลักดันหยางให้เข้าไปอยู่ในร่างกาย จะทำให้มีอาการกลัวหนาว เหงื่อไม่ออก ปวดศีรษะ ปวดตัว ปวดข้อ
  • ถ้าความเย็นกระทบกระเพาะอาหาร จะทำให้ปวดเย็นในท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
  • ถ้าความเย็นกระทบปอด จะทำให้ไอ หอบ มีเสมหะใส
  • ถ้าความเย็นกระทบไต จะทำให้ปวดเย็นที่เอว ปัสสาวะมาก บวมน้ำ

ความเย็นทำให้หยุดนิ่ง ติดขัด เมื่อความเย็นเข้าทำลายหยาง ทำให้เลือดลมไม่ไหลเวียน เกิดการติดขัดและปวดขึ้น ถ้าให้ความอบอุ่นจะทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น อาการปวดทุเลาลง

ความเย็นทำให้หดเกร็ง เมื่อความเย็นมากระทบส่วนนอกของร่างกาย ทำให้ผิวหนังหดตัว รูขุมขนปิด เส้นลมปราณตีบตัน หยางที่ปกป้องร่างกายไม่ไหลเวียนมาที่ส่วนนอก ทำให้เป็นไข้ กลัวหนาว เหงื่อไม่ออก ถ้าความเย็นก่อตัวภายในร่างกาย จะกระทบหัวใจ ม้าม และไต เกิดเป็นอาการ หน้าซีดขาว แขนขาเย็น ปัสสาวะมาก ถ่ายเหลวเป็นน้ำ

ดังที่ได้กล่าวมาความเย็นในฤดูหนาวสามารถก่อโรคได้มากมาย จึงควรเตรียมร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ทั้งภายนอกภายใน ภายนอกนั้นเริ่มมาจากการสวมใส่เสื้อผ้าแขนขายาวและมีความหนามากขึ้น หรืออาบน้ำอุ่น เพื่อป้องกันความหนาวเย็นจากภายนอกมากระทบ ส่วนภายในอาจเริ่มจากการงดดื่มน้ำเย็น อาหารที่มีฤทธิ์เย็น รวมไปถึงทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เพื่อเสริมลมปราณหยางในร่างกาย บทความนี้จึงจะมาแนะนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ช่วยเสริมลมปราณหยางในร่างกาย

  • ตังเซียม (党参)

ตังเซียม มีรสหวาน ฤทธิ์กลาง สรรพคุณ บำรุงชี่ของม้ามและปอด บำรุงเลือด เพิ่มสารน้ำ โดยแพทย์จีนเชื่อว่า ชี่ คือ ลมปราณที่ขับเคลื่อน/ควบคุมการทำงานส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับหยางในร่างกาย ใช้ขนาด 9-30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม

  • โต่วต๋ง (杜仲)

โต่วต๋ง มีรสหวาน ฤทธิ์อุ่น สรรพคุณ บำรุงหยางของตับและไต เสริมสร้างกระดูกและเอ็นให้แข็งแรง ขับลมชื้น ใช้ขนาด 3-9 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม

  • อบเชยจีน (肉桂)

อบเชยจีน มีรสเผ็ดหวาน ฤทธิ์ร้อน สรรพคุณ เสริมหยาง บำรุงธาตุไฟในระบบไต กระจายความเย็น ระงับปวด ทะลวงเส้นลมปราณ ใช้ขนาด 1-5 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม

  • ขิงแห้ง (干姜)

ขิงแห้ง มีรสเผ็ด ฤทธิ์ร้อน สรรพคุณ เสริมความอบอุ่น ขับความเย็น ฟื้นฟูหยางของม้ามและกระเพาะอาหาร ระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน ใช้ขนาด 3-9 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม

  • ดีปลี (荜茇)

ดีปลี มีรสเผ็ด ฤทธิ์ร้อน สรรพคุณ ขับความเย็นออกจากม้ามและกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก แก้อาเจียนและท้องเสียอันเนื่องจากความเย็น ระงับปวดไมเกรน ใช้ภายนอกแก้ปวดฟัน ใช้ขนาด 1.5-3 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม

จากสมุนไพรที่แนะนำเบื้องต้น บางชนิดสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น อบเชยจีนที่เรามักคุ้นเคยอยู่ในเครื่องพะโล้ หรือขิงที่สามารถนำมาผัดกับเห็ดหูหนู ซึ่งสามารถนำอาหารมาทานปรับสมดุลร่างกายได้

4 สมุนไพรช่วยป้องกันเจ็บป่วยทางเดินหายใจ

ข้อมูล กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่าสถานการณ์   ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย หลายจังหวัดมีค่าเกินค่ามาตรฐาน และ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคปอด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และ โรคผิวหนัง ฝุ่น PM 2.5 มีอนุภาคที่เล็กมากสามารถหลุดจากการกรองของขนจมูกเข้าสู่ภายในร่างกาย ทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ เกิดการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีความเครียดก็อาจยิ่งทำให้ภาวะโรคเรื้อรังของผู้ป่วยเลวร้ายลงไปอีก

ทั้งนี้ การใช้สมุนไพรที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสามารถใช้ป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจในภาวะมลพิษมีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่  หญ้าดอกขาว รางจืด มะขามป้อม ขมิ้นชัน   อีกทั้ง ในช่วงสถานการณ์ PM 2.5 นอกจากสมุนไพรดังกล่าวแล้ว ยังมีอาหาร เครื่องดื่ม ที่ปรุงจากขิง และ บร็อคโคลี่  รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พืชผักผลไม้หลากสี

  • ว่านหางจระเข้ บัวบก โลชั่นพญายอ ลดปัญหาผื่นแพ้ผิวหนัง

ส่วนอาการทางผิวหนังมักจะมีสาเหตุที่มาจากการแพ้ฝุ่น อาการผด ผื่น คัน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ต้านการอักเสบของผิวหนัง ช่วยฆ่าเชื้อโรค เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง เช่น ว่านหางจระเข้ บัวบก โลชั่นพญายอ และ อาการผิวหนังอักเสบ ลมพิษ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของพลู และ ขี้ผึ้งพญายอ  หากผิวแห้งใช้โลชั่นที่มีส่วนประกอบของว่านหางจระเข้ บัวบก ขมิ้นชัน ที่สำคัญไม่ควรออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล  ,กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ,โรงพยาบาลฉลอง