'ชูวิทย์'ป่วย เมื่อ ‘มะเร็งตับ’ ไม่ได้เสี่ยงแค่คนดื่มเหล้าเบียร์หนัก

'ชูวิทย์'ป่วย เมื่อ ‘มะเร็งตับ’ ไม่ได้เสี่ยงแค่คนดื่มเหล้าเบียร์หนัก

'ชูวิทย์'ป่วย ระบุเป็น 'มะเร็งตับ' ซึ่งโรคนี้ไม่ได้เกิดในคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักเท่านั้น แต่ยังพบปัจจัยเสี่ยงอีกหลายตัว อย่างเช่น เชื้อราในพริกแห้ง  ควรรู้สัญญาณเตือนสิ่งผิดปกติที่ควรพบแพทย์

Keypoints :

  • อุบัติการณ์มะเร็งตับและท่อน้ำดี ในประเทศพบเป็นอันกับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพเพศหญิง  พบรายใหม่ปีละกว่า 2 หมื่นคน เสียชีวิตราว 15,000 คนต่อปี 
  • ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับ ไม่ใช่แค่เรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากไวรัส และเชื้อราที่พบได้ในถั่ว พริกแห้ง ด้วย
  • สิ่งผิดปกติที่ควรพบแพทย์ ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการคัดกรองมะเร็งตับ สัญญาณเตือน อาการของผู้ป่วยแต่ละคนอาจจะมีความแตกต่างกันไป โดยมะเร็งตับมี 5 ระยะ

 

จากการที่ ชูวิทย์ป่วย ซึ่งเจ้าตัวออกมาเปิดเผยด้วยตนเองว่าป่วยเป็น มะเร็งตับ ระยะ 3 และอาจจะอยู่ได้ ราว 8 เดือนนั้น  เมื่อทำการตรวจสอบพบว่าประเทศไทย มะเร็งตับ ถือเป็นมะเร็งที่ป่วยเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย  
 

มะเร็งตับชายไทยป่วยอันดับ 1  

ประเทศไทยมะเร็งตับและท่อน้ำดีถือเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิงจากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทย ปี 2561 พบว่ามี ผู้ป่วยมะเร็งตับ รายใหม่ 22,213 คน/ปี ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 15,650 คน/ปี (Cancer in Thailand Vol.X (2016-2018) สถาบันมะเร็งแห่งชาติและสถิติสาธารณสุข ปี 2564)

มะเร็งตับที่พบมากในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ มะเร็งเซลล์ตับและมะเร็งท่อน้ำดีตับ โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ

ปัจจัยมะเร็งตับ - คนเสี่ยงมะเร็งตับ

สาเหตุมะเร็งตับ ส่วนมากเกิดจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ส่วนสาเหตุของมะเร็งท่อน้ำดีเกิดจากพยาธิใบไม้ตับร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีดินประสิว (ไนเตรท) และไนไตรท์ เช่น ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาส้มแหนม ฯลฯ

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ และกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ คือ

1. ไวรัสตับอักเสบ  ส่วนใหญ่  75-80% ของผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  50-55 % และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี  25-30% โดยผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงมากกว่าคนที่ไม่เป็นพาหะ ถึง 100-400 เท่า

2. เป็นโรคตับแข็ง

3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีการศึกษาพบว่าถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 41-80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 1.5 เท่า

ถ้าดื่มมากกว่า 80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเป็น 7.3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์น้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับจะไม่ลดลงแม้ว่าจะหยุดดื่มแล้ว    

4. สารอัลฟลาท็อกซิน Aflatoxin เกิดจากเชื้อราบางชนิด พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง เป็นต้น ผู้ที่ตรวจพบว่ามีสารอัลฟลาท็อกซิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ 5.0-9.1 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ตรวจไม่พบสารดังกล่าวในร่างกาย

กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจคัดกรองโรคมะเร็งตับ

1. ผู้ป่วยโรคตับแข็งทั้งเพศหญิงและชาย มีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูงถึง 1-4 %ต่อปี

2. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอดหรือวัยเด็ก และยังไม่มีโรคตับแข็ง แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงในเพศชาย อายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ

3. ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว

 

อาการสัญญาณเตือนมะเร็งตับ

ผู้ป่วยมะเร็งตับแต่ละรายอาจมีการแสดงอาการแตกต่างกัน โดยทั่วไปมักไม่มีอาการในระยะแรก อาการมะเร็งตับ ส่วนใหญ่ที่พบ คือ

  • เบื่ออาหาร
  • แน่นท้องท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลด
  • มีน้ำในช่องท้อง
  • ปวดหรือเสียดชายโครงขวา
  • อาจคลำพบก้อนในช่องท้อง
  • ตัวเหลืองตาเหลือง
  • ท้องโต
  • มีอาการบวมบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น

หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย เช่น การตรวจเลือดดูความผิดปกติการทํางานของตับ การตรวจระดับอัลฟาฟีโตโปรตีน การอัลตราซาวด์เพื่อดูก้อนที่ตับ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก เป็นต้น

 

\'ชูวิทย์\'ป่วย เมื่อ ‘มะเร็งตับ’ ไม่ได้เสี่ยงแค่คนดื่มเหล้าเบียร์หนัก

 

การรักษามะเร็งตับมะเร็งตับ แบ่งได้เป็น 5 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 ก้อนเนื้อมะเร็งมีขนาดเล็กก้อนเดียว ขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร หากตรวจพบในระยะนี้ สบายใจได้เลย เพราะสามารถรักษาได้ไม่ยาก

ระยะที่ 2 ก้อนเนื้อมะเร็งไม่เกิน 3 ก้อน ขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร เป็นระยะที่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ระยะที่ 3 ก้อนเนื้อมะเร็งหลายก้อน ขนาดโตกว่ามะเร็งระยะที่ 2  ซึ่งชูวิทย์ป่วย อยู่ในระยะนี้ตามที่เจ้าตัวเปิดเผย

ระยะที่ 4 ก้อนเนื้อมะเร็งโตมาก ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ หรือเข้าหลอดเลือดดำในท้อง หรือไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ หรือแพร่กระจายตามกระแสเลือด รวมถึงลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ ในระยะนี้ต้องเข้ารับการผ่าตัด

ระยะที่ 5 เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมมาก นอนติดเตียงเป็นส่วนใหญ่ ตับจะทำงานแย่ลงมาก

 

การรักษามะเร็งตับและท่อน้ำดี มีหลายวิธีซึ่งจําเป็นต้องประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย  เนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องคํานึงหลายประการ
1.การผ่าตัด

2.การฉีดยาข้าก้องมะเร็งโดยตรง ในผู้ป่วยมะเร็งระยะเริ่มแรก

3.การฉีดยาเคมีบำบัด หรือสารอุดตันเข้าเส้นเลือดแดง ที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง

4.การใช้ยาเคมี ส่วนใหญ่เป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ

 

วิธีป้องกันมะเร็งตับ

  • การให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบีในเด็กแรกเกิดทุกคน
  • ไม่รับประทานปลาน้ำจืดดิบ
  • ปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพ
  • รับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่อาจปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน อาหารที่มีดินประสิว และอาหารหมักดอง
  • เลิกสูบบุหรี่
  • เลือกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • เลิกเคี้ยวหมาก
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นต้น

หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบหรือท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ควรรับการตรวจหามะเร็งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับหรือมะเร็งท่อน้ำดีได้ 

 

อ้างอิง :
สถาบันมะเร็งแห่งชาคิ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 
คณะแพทยศาสตร์ รพ.สงขลานครินทร์
รพ.พญาไท