‘ยาวิเศษ’ ลดความอ้วน | วรากรณ์ สามโกเศศ

‘ยาวิเศษ’ ลดความอ้วน | วรากรณ์ สามโกเศศ

ความงามของหญิงเป็นสิ่งสำคัญในทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ “ความขาว” และ “ความผอม” ดูจะเป็นสององค์ประกอบของมาตรฐานความงามของหญิงไทย

เรื่องแรกมีสารพัดครีมออกมาขายเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา แล้วอย่างหลังเป็นปัญหามายาวนาน วิธีแก้ไขปัญหาก็คือ การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งเป็นหนทางที่ลำบากและประสบความสำเร็จได้ยาก

หญิงและชายที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพและเป็นอุปสรรคต่อความงาม จึงไม่มีสิ่งใดที่ช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยาหลายขนานข้ามเวลายาวนานก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งถึงปัจจุบันซึ่งมี “ยาวิเศษ” ออกมาแล้ว และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างชะงัดและเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวโลกเป็นอย่างยิ่งอยู่ในขณะนี้

ในสหรัฐ บรรดาดารานักแสดงและนักร้องดังต่างกินยาลดความอ้วนชนิดนี้ Elon Musk ยอมรับว่าเขากินและมีการออก TikTok สรรเสริญยานี้กันจนยายิ่งหายไปจากตลาด ต่อจากนี้ไปคนทั่วโลกมีโอกาสเอาชนะความอ้วนด้วยวิธีง่ายๆ คือ กินยา หรือฉีดยา 

“ยาวิเศษ” ได้มาช่วยชาวโลกที่กำลังมีปัญหาเรื่องความอ้วนอย่างเหมาะเจาะ ในปี 2563 มีตัวเลขจาก World Obesity Federation ว่า 2 ใน 5 ของประชากรโลกมีน้ำหนักเกินพอดี หรือเรียกว่าอ้วน และในปี 2578 ตัวเลขนี้จะขึ้นไปถึงครึ่งหนึ่งซึ่งหมายความว่าจะมีคนจำนวน 4 พันล้านคนในประชากร 8 พันล้านคนของโลก 

ทางโน้มนี้น่าเป็นห่วง เพราะเป็นที่ชัดเจนทางการแพทย์ว่าความอ้วนเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ เส้นเลือดในสมองอุดตัน (สโตรก) มะเร็งหลายชนิด ฯลฯ อีกทั้งเป็นประเด็นด้านลบทางจิตวิทยาอันเกี่ยวกับความอ้วนอีกมากมาย

นอกจากนี้ ความอ้วนก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมากอีกด้วย มีการคำนวณว่าในแต่ละปีโลกต้องสูญเสียรายได้อันเนื่องมาจากการมีน้ำหนักเกินพอดีถึง 2.9% ของจีดีพี โลกในปี 2578 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.2% ในปี 2562 เงินที่สูญเสียไปนี้มาจากการต้องดูแลสุขภาพ จากวันเวลาการทำงานที่ต้องสูญไปและจากความตายที่เกี่ยวพันกับความอ้วน

“ยาวิเศษ” ลดความอ้วนดังกล่าวอยู่ในกลุ่มของยาที่มีชื่อเรียกว่า GLP-1 มีชื่อทางการว่า Semaglutide เริ่มขายตั้งแต่ปี 2564 ในสหรัฐ เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ในเวลาอีกไม่นานจะขายในประเทศอื่นๆ ด้วย ส่วนยาอีกตัวมีชื่อทางการว่า Tirzepatide ยากลุ่มนี้ช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 15% หลังจากรับยาไปแล้วประมาณ 1 ปี 

ยากลุ่ม GLP-1 ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เพราะในตอนแรกเป็นยารักษาโรคเบาหวาน และแพทย์สังเกตเห็นว่าทำให้น้ำหนักลดลงอย่างสำคัญ อีกทั้งมีผลข้างเคียงน้อย

ยากลุ่ม GLP-1 ทำงานโดยเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมน ซึ่งกระตุ้นความรู้สึกอิ่มจนลดความรู้สึกอยากกินลง นอกจากนี้ยังไปปิดสวิตช์ความต้องการบริโภคอาหาร ซึ่งถูกควบคุมจากสมองอีกด้วย

บริษัท Novo Nordisk ผู้ผลิต Semaglutide (ยาตัวแรกของกลุ่ม GLP-1) เริ่มขายในปี 2560 เพื่อรักษาโรคเบาหวานและพบว่าใน 40 อาทิตย์น้ำหนักของผู้รับยาลดลงจึงออกยาตัวใหม่ขายในสหรัฐในปี 2564

ส่วน Tirzepatide เป็นยาตัวที่สองของบริษัท Eli Lilly ที่ตามมาและกำลังมียาอีกหลายตัวในกลุ่มนี้ที่กำลังเตรียมวางตลาด เพราะมีการคาดการณ์ว่าตลาดของยา GLP-1 จะขยายตัวอย่างมาก โดยในปี 2573 จะมียอดขายถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี เทียบกับมูลค่าไม่ถึง 5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” ดังนั้น การกินยากลุ่ม GLP-1 ก็มี “ราคา” ที่ต้องจ่ายเช่นกัน กล่าวคือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นและค่ายาที่ต้องจ่าย ในเรื่องผลข้างเคียงหรือความปลอดภัยนั้น ในระยะสั้นมีเพียงท้องเสียและอาเจียนอย่างอ่อนๆ เท่านั้นส่วนผลระยะยาวนั้นจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้เช่นเดียวกับยาทั้งหลาย ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อมีการกินยากันกว้างขวางและเพิ่มปริมาณยาที่กินในแต่ละอาทิตย์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

ในการทดลองกับสัตว์ พบว่ามีบ้างที่เกิดมะเร็งในต่อมไทรอยด์และทำให้ตับอ่อนอักเสบ ที่ไม่รู้ก็คือผลกระทบจากการใช้ในช่วงตั้งครรภ์ การศึกษาผลข้างเคียงในระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญเพราะยานี้ต้องกินตลอดชีวิต หากเลิกกินแล้วความอ้วนส่วนหนึ่งก็จะกลับมาและสำหรับบางคนอาจอ้วนกว่าตอนแรกด้วยซ้ำ

สำหรับค่ายาที่จ่ายนั้นน่ากลัว เพราะการกินยาตัวแรกของกลุ่ม GLP-1 ในปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,300 ดอลลาร์ (45,000 บาทต่อเดือน) และยาตัวสองของกลุ่ม GLP-1 มีค่าใช้จ่าย 900 ดอลลาร์ (31,000 บาทต่อเดือน) แต่เชื่อว่าในเวลาอีกไม่นานราคาจะลดลงอย่างมากเพราะการแข่งขัน

การมี “ยาวิเศษ” ขนานนี้เป็นข่าวดีของโลก โดยเฉพาะสำหรับกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือในการลดน้ำหนัก เพราะปัญหาสุขภาพ สำหรับผู้ต้องการเพื่อความงามก็เป็นโอกาสทองอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็ต้องคำนึงถึง “ความไม่ฟรี” ของผลข้างเคียงและราคาของมันด้วยเพราะต้องกินตลอดไป 

ความเสี่ยงในระยะยาวจากการกินยานั้น เป็นเรื่องปกติไม่ควรกังวลมากเกินไป เพราะระหว่างทางที่กินอาจมียาอื่นมาช่วยลดผลกระทบได้ และสำหรับคนจำนวนหนึ่งหากไม่กินก็อาจตายไปนานก่อนที่จะเกิดผลเสียระยะยาวก็เป็นได้

ถ้าผู้ใดกังวลเรื่อง “ความไม่ฟรี” และไม่มีความจำเป็นต้องกิน “ยาวิเศษ” นี้ ก็ลองพิจารณาการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร ซึ่งเป็นวิธีการคลาสสิกดั้งเดิมของการควบคุมน้ำหนัก มันทำให้ประหยัดทั้งเงินทองและได้รับสุขภาพที่ดีในขั้นพื้นฐานอีกด้วย