คน ชนบท และการอนุรักษ์ มรดกจากพระพันปีหลวง

คน ชนบท และการอนุรักษ์ มรดกจากพระพันปีหลวง

ย้อนไปเมื่อกว่า 30 ปีก่อน ที่บ้านผู้เขียนมีคนทำงานบ้านคนหนึ่งชื่อ “พี่บัว” พี่บัวทำงานที่บ้านมานานเกือบ 10 ปี วันหนึ่งพี่มาขอลาออกกลับไปบ้านที่สกลนคร บอกว่าที่บ้านมีการจัดตั้งกลุ่มสตรีทอผ้า

โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในสมัยนั้น พี่บัวว่าจะกลับไปช่วยแม่ทอผ้าส่งขายให้มูลนิธิของพระราชินี จะมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากทำนา ที่สำคัญยังได้ดูแลพ่อแม่ เชื่อว่าชีวิตน่าจะอยู่ได้เพราะข้าวของถูกกว่ากรุงเทพฯ

ฟังพี่บัวแล้วแม้เสียดายแต่ก็ต้องส่งเสริมให้พี่บัวกลับบ้าน เพราะนี่เป็นความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ดีกว่าการก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านที่จำเจและไม่เห็นอนาคต

ขณะเดียวกันนึกนิยมในใจว่างานของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ซึ่งเป็นงานที่ริเริ่มโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในสมัยนั้นยังประโยชน์ให้กับคนชนบทอย่างเห็นจริงอย่างกรณีพี่บัว เป็นงานที่บรรลุถึง 3 เป้าหมายได้อย่างน่าทึ่ง คือทั้งสร้างคน พัฒนาชนบท และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติไปพร้อมๆ กัน

ภาพชีวิตคนจากภาคอีสานในสมัย 30-40 ปีก่อนนั้นเป็นที่คุ้นตา คือผู้หญิงเข้าเมืองหลวงเพื่อทำงานบ้าน ผู้ชายเข้ามาค้าแรงงานตั้งแต่งานแบกหาม งานก่อสร้าง และงานรับจ้างต่างๆ เพราะความยากจนและแห้งแล้ง พืชผลการเกษตรขายไม่ได้ราคาเท่ากับที่ลงทุนลงแรงไป ต้องปล่อยภาระการเลี้ยงดูลูกๆ ไว้กับพ่อแม่หรือญาติที่แก่ชรา นานๆ จึงมีโอกาสกลับไปเยี่ยมลูกเสียที 

ค่าจ้างแรงงานในสมัยก่อนก็ไม่ได้มากอะไร ทำให้เด็กพลอยไม่ได้รับการศึกษามากนัก พออ่านออกเขียนได้ก็ต้องออกมาค้าแรงงานไม่ต่างจากพ่อแม่ วงจรความยากจนจึงหมุนวนเป็นวัฏจักรที่ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ การพยายามจะตัดวงจรนี้ได้ก็ด้วยการทำให้คนมีวิชาความรู้มากขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ใช่การศึกษาในระบบก็ได้ แต่เป็นการฝึกด้านอาชีพที่ทำให้เขามีวิชาที่สามารถนำไปเลี้ยงดูตัวเองได้ตามกำลัง 

การสร้างศูนย์เรียนรู้และโรงฝึกอาชีพของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในขณะนั้น จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้คนเหล่านั้นเห็นคุณค่าของตัวเองแม้จะไม่ได้เรียนสูง แต่มีวิชาความรู้อีกด้านที่สามารถเลี้ยงตัวและครอบครัวได้มั่นคงกว่าที่เคย สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่น่าประทับใจได้

ลูกหลานของเขาก็จะไม่ลำบาก มีโอกาสในสังคมมากขึ้น ไม่ใช่ต้องเดินตามรอยพ่อแม่อย่างแต่ก่อน การริเริ่มของมูลนิธิจึงเริ่มด้วยการสร้างคนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

เมื่อสร้างคนให้มีความรู้ที่จะประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงแล้ว ชนบทก็จะได้รับการดูแลเป็นอันดับต่อไปเพราะคนอยู่ติดที่ไม่ต้องย้ายเข้าเมืองใหญ่ ความรู้สึกรักถิ่นฐานบ้านเกิดจะตามมาและส่งผลให้เกิดการพัฒนาสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น เกิดการร่วมคิด ร่วมแรงร่วมใจ และขยายไปสู่การสร้างผู้นำในชุมชนเพื่อร่วมกันยกระดับบ้านเกิดให้ดีขึ้นจากสำนึกของความหวงแหน

พร้อมๆ กับที่คนและชนบทได้รับการพัฒนา งานด้านการอนุรักษ์ก็จะสามารถดำเนินควบคู่กันไปด้วย ไม่เพียงแต่การอนุรักษ์งานฝีมือ งานศิลปะ แต่คือการอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีอยู่บนผืนดินด้วย เมื่อคนมีความรู้ มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้วก็ย่อมหวงแหนพื้นดิน ป่าไม้ แหล่งน้ำของตัวเอง นั่นคือ ต้องทำให้คนมีกินอิ่มท้องแล้วเขาจึงจะคิดในเรื่องไกลตัวเขาออกไป

พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระพันปีหลวง จึงเป็นสิ่งที่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง เพราะคือสิ่งที่เรียกว่า “ความยั่งยืน” อย่างแท้จริงที่ได้มีการลงมือทำให้ประจักษ์แล้วด้วยการบรรลุในทั้งสามเป้าหมาย ก่อนที่โลกจะรู้จักและพูดถึงเรื่องความยั่งยืนหรือ SDGs อย่างกว้างขวางอย่างเช่นทุกวันนี้เสียอีก

อย่างไรก็ตาม งานการสร้างคน ชนบท และการอนุรักษ์นั้นเป็นงานยากแสนเข็ญ ต้องลงทุนลงแรงมาก และต้องใช้เวลายาวนาน การคิดกำไรขาดทุนในระยะสั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ขาดทุนของฉัน คือกำไรของแผ่นดิน” เป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอน เพราะการสร้างคน สร้างความสำนึกและสร้างชีวิตนั้นมีคุณค่าสูงเกินกว่าที่จะวัดออกมาเป็นตัวเงินได้

วันนี้โลกหมุนไปตามเทคโนโลยี การพยายามที่จะสร้างคน พัฒนาชนบท และส่งเสริมการอนุรักษ์ นั้นจะยิ่งยากเข้าไปอีก จากความคิดที่แตกต่างและความเหลื่อมล้ำของคนโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวเร่ง กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญและสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของตัวเองก็จะวิ่งนำกลุ่มคนที่ยังล้าหลังออกไปเรื่อยๆ 

ปัญหาจึงอยู่ที่ผู้รับผิดชอบ จะทำอย่างไรให้พระปณิธานของสมเด็จพระพันปีหลวงยังสามารถก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คน การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ นั่นคือปัญหาที่ท้าทาย ไม่เช่นนั้นประชาชนก็ยังจะยากจนต่อไป

มรดกล้ำค่าจากสมเด็จพระพันปีหลวงควรจะเป็นสิ่งเตือนใจผู้มีอำนาจให้หาทางขยายโครงการเช่นนี้ออกไปให้กว้างขวางเข้มข้นขึ้น โดยปรับให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้ท้องถิ่นชนบทเป็นที่เกิดของงานเพื่อยับยั้งคนเข้ามาสู่เมืองใหญ่ สร้างโอกาสให้เกิดในผืนดินบ้านเกิดของเขา นี่น่าจะเป็นแนวนโยบายที่พรรคต่างๆ ควรนำเสนอสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงด้วย