สัตว์ไม่มีพฤติกรรมเลี้ยงหลาน แต่คนยินดีที่จะเลี้ยง

สัตว์ไม่มีพฤติกรรมเลี้ยงหลาน แต่คนยินดีที่จะเลี้ยง

ผมไม่ใช่นักชีววิทยาหรือนักพฤติกรรมสัตว์ จึงไม่ใช่ผู้รู้จริง  เพียงแต่อยากเสนอมุมมองของตัวเองในเรื่องนี้สู่สาธารณะ เพื่อขอแลกเปลี่ยนและคำชี้แนะจากผู้รู้

ทำไมคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก

ก่อนอื่นมาเริ่มที่ประเด็นนี้ก่อน  ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาสังคมโลกเผชิญกับวิกฤติการเกิดต่ำ เหตุผลสำคัญคือ โครงสร้างชีวิตที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ซึ่งต้องเผชิญภาระทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น รายได้ไม่สัมพันธ์กับค่าครองชีพ และเวลาทำงานที่เบียดบังชีวิตส่วนตัว  

นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังให้คุณค่ากับเสรีภาพและความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าในอดีต การมีลูกถูกมองว่าเป็นภาระระยะยาวทั้งในด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และความเครียดทางอารมณ์  

หลายคนเลือกใช้ชีวิตเพื่อพัฒนาอาชีพ ท่องเที่ยว หรือสร้างคุณค่าในรูปแบบอื่นแทนการมีบุตร  อีกประเด็นหนึ่งคือ ความไม่มั่นคงของโลกอนาคต ทั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำ และความไม่แน่นอนของสังคม ทำให้บางคนรู้สึกว่าไม่อยากนำลูกมาเผชิญโลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเหล่านี้

ทำไมคนรุ่นใหม่เริ่มไม่อยากดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย

ค่านิยมกตัญญูแบบดั้งเดิมเป็นอีกสัญญาณหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย  ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เติบโตในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระของแต่ละคนมากกว่าการผูกพันในระบบครอบครัวขยาย  การย้ายถิ่นฐานเพื่อไปทำงานในเมืองใหญ่หรือต่างประเทศทำให้การดูแลผู้สูงอายุเป็นเรื่องยากทางกายภาพและเศรษฐกิจ  

ขณะเดียวกันผู้สูงอายุในยุคปัจจุบันก็มีแนวโน้มต้องการพึ่งพาตนเองมากขึ้น ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน อันนำไปสู่ความสัมพันธ์แบบ“เคารพแต่ห่าง”มากกว่าการอยู่ร่วมบ้านแบบเดิม

สัตว์ที่มีพฤติกรรมเลี้ยงหลาน 

ในโลกธรรมชาติ การเลี้ยงหลาน หรือ grandparenting behavior ไม่มีอยู่ในสัตว์ทั่วไป แต่กูเกิลบอกว่ามีพบได้ในสัตว์บางชนิด เช่น 

• วาฬเพชฌฆาต (orca) และ วาฬหัวทุย (pilot whale)  ที่ตัวเมียสูงวัยในฝูงจะช่วยลูกสาวเลี้ยงลูก โดยช่วยถ่ายทอดประสบการณ์การหาอาหารและปกป้องฝูงให้กับหลาน 

• ช้าง  โดยเฉพาะช้างแอฟริกา “ช้างแม่ใหญ่”หรือ matriarch มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองฝูง และสอนทั้งลูกและหลานให้เรียนรู้การเอาตัวรอด

• ลิงบางชนิด เช่น ลิงบาบูน  ปู่ย่าตายายบางตัวช่วยดูแลลูกของลูกเพื่อให้แม่ได้พักหรือออกหาอาหาร

พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนแนวคิดทางชีววิทยาวิวัฒนาการว่า การช่วยเลี้ยงหลานเป็นกลยุทธ์สืบพันธุ์ทางอ้อม (indirect reproduction strategy) คือ การเพิ่มโอกาสให้ยีนของตนถูกส่งต่อผ่านหลาน แม้จะไม่ได้มีลูกเพิ่มด้วยตนเอง

ทำไมมนุษย์ยินดีที่จะเลี้ยงหลาน

แต่…แต่ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเป็นกรณีขอสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูงหรือครอบครัวใหญ่ซึ่งมีอยู่จำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับสัตว์ทุกสายพันธุ์  จึงจะมีพฤติกรรมเช่นนั้นอยู่บ้าง 

ผิดกับมนุษย์ที่แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมกันเป็นชุมชน และแม้กระทั่งอยู่กันคนละบ้าน คนละเมือง คนละประเทศ  ถ้าปู่ย่าตายายสามารถจ่ายได้ เขาก็จะเดินทางไปหาหลาน  แม้กระทั่งไปอยู่ด้วย ไปช่วยเลี้ยงจนกว่าหลานจะโต  รวมทั้งบ่อยครั้งด้วยที่ปู่ย่าตายายต้องออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูนั้นๆเอง  สิ่งนี้พบได้ในทุกสังคมทั่วโลกโดยที่มิได้มีการถ่ายทอดแนวคิดให้กันและกันแต่อย่างใด

ปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดในหลายสังคม คือ พ่อแม่หนีหรือจำต้องไปทำงานต่างถิ่น  เพื่อหาเงินมาส่งให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงลูกของตน  และในหลายกรณีที่เงินที่ส่งมานั้นไม่เพียงพอ  ตกเป็นภาระให้ปู่ย่าตายายต้องแบกรับด้วยความลำบากโดยปริยาย

แต่ปู่ย่าตายายเหล่านั้นก็ไม่ปล่อยให้หลานอดตาย  แต่ทำทุกวิถีทางที่ให้หลานอยู่รอดหรือให้ดีให้ได้  จนเกิดเป็นความผูกพันใหญ่หลวงอย่างที่ไม่เห็นในสัตว์อื่น

มนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดมากกว่าสัตว์ทุกชนิด จนไปถึงระดับที่มีสัญชาตญาณทางสังคมที่เข้มข้นกว่าสัตว์  การเลี้ยงหลานไม่ได้มีแค่เหตุผลทางพันธุกรรม แต่ยังเชื่อมโยงกับอารมณ์ ความรัก ความผูกพัน และความหมายในชีวิตของผู้สูงอายุ ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่สัตว์ทั่วไปจะเข้าใจ  

การได้ดูแลหลานทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่า และช่วยลดความโดดเดี่ยวทางใจ  จึงยินดีที่จะทำเช่นนั้น  จึงกล่าวได้อย่างค่อนข้างมั่นใจว่ามนุษย์หรือคนเป็นสปีชีส์เดียวของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่ทำสิ่งที่น่ารักนี้ได้

ถอดบทเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนรุ่นต่อไป

ปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูกหรือไม่ดูแลพ่อแม่ ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นความเสื่อมของค่านิยม แต่ควรมองว่าเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านสังคมที่ต้องการระบบสนับสนุนใหม่ ๆ  ส่วนบทเรียนสำหรับกรณีนี้ คือ

1. ทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ต้องปรับมุมมองเรื่องครอบครัวว่าการดูแลกันไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมบ้าน แต่อาจอยู่ในรูปแบบของการสนับสนุนทางใจและเวลา แต่ถ้าใครโชคดี มีครอบครัวใหญ่หรือปู่ย่าตายายมีที่พักอาศัยอยู่ใกล้กัน นั่นก็เป็นบุญกุศลที่ใครๆก็อยากมี

2. จากข้อ 1. นั่น คนรุ่นใหม่ก็อาจนำข้อคิดนั้นมาใช้วางแผน ถ้าเป็นได้ ในการหาหรือซื้อบ้านให้กับครอบครัวของตัวเอง ให้ใกล้กับของปู่ย่าหรือตายาย

3. สังคมควรต้องส่งเสริมการเลี้ยงดูแบบร่วมรุ่น (intergenerational care) เช่น ศูนย์เด็กเล็กที่ให้ผู้สูงอายุมีบทบาทช่วยสอนหรือดูแล เพื่อให้ทั้งสองวัยได้แลกเปลี่ยนพลัง

4. ถ้ามองในภาพใหญ่ของบ้านเมือง รัฐต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่คนรุ่นใหม่มั่นใจ อยากมีลูก เช่น นโยบายลาคลอดที่ดี ระบบการศึกษาและค่าครองชีพที่ไม่กดดัน

บทสรุป

มนุษย์มีความพิเศษตรงที่ความรักและการดูแลข้ามรุ่น เป็นทั้งวัฒนธรรมและสัญชาตญาณการแพร่พันธุ์ที่ลึกซึ้งและมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น

 มนุษย์จึงควรใช้ความพิเศษของการเข้าใจรากเหง้าของสัญชาตญาณเลี้ยงหลานนั้น  มาช่วยให้เราออกแบบสังคมที่อบอุ่น   ที่ปู่ย่าตายายยินดีและยินยอมพร้อมใจ ที่จะมาช่วยลูกเลี้ยงหลาน โดยไม่คิดยาวไปถึงค่าตอบแทนใดๆ