เปลี่ยน ‘ร.ร.ร้าง’ ทำโมเดล‘ร.ร.อินเตอร์’ มุ่งลดรายจ่าย สร้างรายได้ รีสตาร์ทชีวิต

7 หน่วยงาน จับมือพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย ขับเคลื่อน “Family First & Care Economy” มุ่งลดรายจ่าย สร้างรายได้ รีสตาร์ทชีวิต แก้ปัญหาจากฐานครอบครัวสู่ระดับชาติ เปิดโมเดลเปลี่ยนโรงเรียนร้างเป็น "ศูนย์ร่วมสุข"
KEY
POINTS
- 7 หน่วยงาน จับมือบูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย ขับเคลื่อน “Family First & Care Economy” มุ่งลดรายจ่าย สร้างรายได้ รีสตาร์ทชีวิต แก้ปัญหาจากฐานครอบครัวสู่ระดับชาติ
- พม.เปิดโมเดล เปลี่ยน "โรงเรียนร้าง" ใช้โมเดลโรงเรียนอินเตอร์ มาปรับปรุงเป็น "ศูนย์ร่วมสุข" เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชน
- ศูนย์ร่วมสุข ใช้เป็นพื้นที่การจัดการผลผลิตเกษตร ,การส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุและสตรี และการพัฒนาเด็กเยาวชนและสังคมก้มหน้า เรียนรู้การทำตลาดออนไลน์ ขายผลผลิตครอบครัว
4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ,กระทรวงศึกษาธิการ,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 3 สมาคม ได้แก่ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แห่งประเทศไทย, สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย, และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แห่งประเทศไทย ลงนามMOUบูรณาการความร่วมมือพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย
ทำงานแบบบูรณาการของภาครัฐให้เข้าถึงปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ตรงจุดมากขึ้น เน้นการแก้ปัญหาในระดับจุลภาค หรือระดับครัวเรือน (Family First) มุ่งลดรายจ่าย สร้างรายได้ และ "รีสตาร์ทชีวิต" ผ่านการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจใส่ใจ (Care Economy) และการใช้พื้นที่ "โรงเรียนร้าง" เป็น "ศูนย์ร่วมสุข" และการปรับปรุงกลไกการทำงาน
บูรณาการดูแลคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย
เมื่วันที่ 29 ตุลาคม 2568 ที่ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี ในงาน "การบูรณาการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย" ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบนโยบายการบูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัยทั่วไทยด้านคุณภาพชีวิต คนเปราะบาง การศึกษา และอาชีพว่า การนำนโยบายรัฐบาลไปดำเนินการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง จะต้องใช้กลไกฟันเฟืองของท้องถิ่น เพราะอยู่ใกล้ชิดคนมากที่สุด
ดังนั้น กระทรวงต่างๆจะต้องเข้าไปรับรู้ปัญหาจากท้องถิ่นแล้วนำงบประมาณ ทรัพยากร สรรพกำลังระดมลงไปให้เกิดการขับเคลื่อนงาน เช่น 7 หน่วยงานที่MOUกันในครั้งนี้กำลังดำเนินการบูรณาการดูแลคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัยตั้งแต่ในครรภ์มารดาถึงวัยชรา โดยเริ่มจากเรื่องการลดร่ายจ่าย เพิ่มรายได้ ตามภารกิจของแต่ละกระทรวงที่จะร่วมมือกับท้องถิ่น
“โครงสร้างสังคมเป็นพีระมิด ซึ่งยอดสูงสุดเป็นกลุ่มทุน จะอยู่ไม่ได้ถ้าฐานรากไม่มั่นคง เข้มแข็ง ดังนั้น คนฐานรากถือว่ามีความสำคัญ การจะพัฒนาบ้านเมือง มั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน จะต้องเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงของคนฐากราก ทำให้คนแต่ละช่วงอายุอยู่อย่างมีความสุข”ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ทลายการทำงานแบบแยกส่วน
ขณะที่นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ปาฐกถา "การยกระดับและการพัฒนาคนใกล้คุณ : Family First & Care Economy บทบาทหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นใกล้คุณ”ว่า ประชาชนในพื้นที่ที่เป็นกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก ยังเข้าไม่ถึงสิทธิ์และต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตอยู่อีกมาก โดยพบว่าการใช้บุคลากรและงบประมาณของส่วนกลางนั้น ยังไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเปราะบางอย่างแท้จริง
การบูรณาการทำงานร่วมกันนี้ สมาคมท้องถิ่น จะเป็น"กระจก" สะท้อนปัญหาจากท้องถิ่นและรากหญ้าขึ้นมาให้ 4 กระทรวงเห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาของกลุ่มเปราะบางในทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อให้ สามารถเข้าไปดำเนินการเติมเต็มได้ ทั้งเรื่องกายอุปกรณ์ เงินสวัสดิการ เครื่องมือ หรือบุคลากร
“การทำงานจะไม่เป็นแบบแท่ง หรือเป็นก้อนแยกส่วน แต่จะทำงานแบบ ก้อนกลมๆโดยใช้ปัญหาในครัวเรือน บุคคล จังหวัด และระดับภาค เป็นสารตั้งต้นในการยก (ร่าง) แผนการพัฒนา การกำหนดปัญหาจากฐานรากนี้ จะทำให้สำนักงบประมาณไม่ตัดงบประมาณที่ผลักดันเข้าไปแก้ไขปัญหาที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างแท้จริง”นายอัครากล่าว
2 เสาหลัก นโยบาย "พม. ใกล้คุณ"
ภารกิจของนโยบาย "พม. ใกล้คุณ" มี 2 เสาหลักสำคัญ คือ “Family First” เริ่มต้นจากมองและแก้ปัญหาของครอบครัว ซึ่งเรื่องสำคัญอยู่ตรงที่การลดรายจ่ายครัวเรือน มีการส่งเสริมให้ทุกครอบครัวเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคม ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึง สร้างอาชีพให้คนในชุมชน
ผ่านการสร้างเศรษฐกิจใส่ใจ (Care Economy) ดึงคนกลับเข้ามาทำงานอยู่ใกล้ครอบครัว ลดปัญหาพ่อแม่ต้องออกไปทำงานต่างถิ่น ซึ่งจำเป็นต้องมีการสร้างระบบนิเวศ(Ecosystem) จากการทำงานเชิงรุกร่วมของ 7 หน่วยงานที่ MOU นำภารกิจที่ดำเนินการอยู่แล้วมาต่อยอดขยายผลและเชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพใกล้บ้านให้กับทุกครอบครัว อย่างเป็นรูปธรรม
อาทิ เชื่อมโยงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปรับรูปแบบการทำงานด้านเกษตรใหม่ ไม่ให้เป็นแบบที่ผลิตโดยเกษตร แปรรูปโดยอุตสาหกรรม และขายโดยพาณิชย์ แต่จะเน้นการทำงานร่วมกันโดยใช้ศักยภาพของหน่วยงานเกษตร
กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ส่งเสริมท่องเที่ยวชุมชน พัฒนาแปรรุปผลิตภัณฑชุมชนขายให้ หรือพม.และศึกษาธิการที่มีการอบรมอาชีพมากมายแต่ไม่ได้มีการต่อยอดระยะยาว จากนี้ก็จะเป็นนำภารกิจที่แต่ละกระทรวงทำอยู่แล้วมาต่อยอด ลดรายจ่าย สร้างรายได้ รีสตาร์ทชีวิตประชาชน เชื่อมต่อสร้างงานสร้างอาชีพใกล้บ้านให้ครอบครัวอย่างแท้จริง
“การบูรณาการระหว่าง 4 กระทรวง และ 3 สมาคมท้องถิ่นครั้งนี้ ภายใต้นโยบาย พม. ใกล้คุณมุ่งมั่นแก้ปัญหาในระดับจุลภาค ตั้งต้นจากครอบครัว (Family First) และสร้างเศรษฐกิจใส่ใจร่วมกัน จะเป็นก้าวสำคัญในการ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และรีสตาร์ทชีวิต ซึ่งการทำงานจากระดับครอบครัวสู่ชุมชนเช่นนี้ จะงอกงามเป็นความมั่นคงของชาติในที่สุด”นายอัครากล่าว
ศูนย์ร่วมสุข: พื้นที่ "รีสตาร์ทชีวิต"
กลไกหลักในการขับเคลื่อนระดับพื้นที่ คือ "ศูนย์ร่วมสุข" ซึ่งจะใช้ประโยชน์จาก "โรงเรียนร้าง" ที่มีการหยุดการเรียนการสอนและสนามกีฬาที่ไม่ได้ใช้กิจกรรม นำมาปรับเป็นพื้นที่สำหรับลดรายจ่ายและสร้างรายได้ โดยจะต้องมีการสำรวจจำนวนโรงเรียนร้างในพื้นที่ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด เพื่อนำมาดำเนินงานภายใต้ MOU ครั้งนี้ ตัวอย่าง การดำเนินงาน “ศูนย์ร่วมสุข”
- “การจัดการผลผลิตเกษตร” โดยใช้เครื่องจักรของ อบจ. ปรับโรงเรียนร้างหรือสนามกีฬาเป็น ลานตากข้าว และให้กรมการข้าวปรับปรุงอาคารเป็น ยุ้งฉาง เพื่อเก็บผลผลิตในช่วงโครงการชะลอการขายของรัฐบาล กรมพัฒนาที่ดินจะใช้พื้นที่อบรมการวิเคราะห์ดินและบำรุงดิน โดย หมอดินอาสา เพื่อผลิตปุ๋ยอัดขายในราคาทุน
- “การส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุและสตรี” ผู้สูงอายุที่ทำกิจกรรมในโรงเรียนผู้สูงอายุที่ศูนย์ร่วมสุขจะได้รับการส่งเสริมการ เลี้ยงไหมถาด โดยกรมหม่อนไหม ซึ่งเป็นอาชีพที่ผู้สูงอายุไม่ต้องลงทุน รังไหมที่เก็บได้จะถูกรับซื้อโดยเจ้าหน้าที่กรมหม่อนไหมถึงที่บ้าน และส่งต่อไปให้กลุ่มสตรีนำไปแปรรูปเป็นผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ตัดเย็บ ขยายสู่การสร้างซอฟต์พาวเวอร์ด้านผ้าไหม
- “การพัฒนาเด็กเยาวชนและสังคมก้มหน้า” ซึ่งศูนย์ร่วมสุขจะเปลี่ยนโรงเรียนล้างมาทำ โมเดลโรงเรียนอินเตอร์ สำหรับเด็กและเยาวชนที่แคสเกม ติดเกม หรือมีพฤติกรรมสังคมก้มหน้า โดยจะบูรณาการร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ที่มีภาค IT เพื่อฝึกทักษะการใช้โซเชียลและการสร้าง ตลาดออนไลน์ เพื่อนำผลิตภัณฑ์มวลรวมจากพ่อแม่ที่อบรมอาชีพในศูนย์ฯมาจำหน่ายออนไลน์
แก้ไขปัญหา "บ้าน 2 วัย"
ส่วนเรื่องของการลดช่องว่างและแก้ไขปัญหา "บ้าน 2 วัย" หมายถึงการที่เด็กและเยาวชนที่มักติดเกม/โทรศัพท์) ต้องอยู่กับผู้สูงอายุ (ที่มีช่องว่างระหว่างวัยสูง) ทำให้การสื่อสารไม่เข้าใจกัน และนำไปสู่ความเสี่ยงที่เด็กจะหนีออกจากบ้านไปคบเพื่อนที่อาจล่อแหลมต่อการเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์หรือยาเสพติด
จะนำนโยบายลดรายจ่ายในครัวเรือนมาใช้ เช่น การให้ ไก่ไข่ ไปเลี้ยงที่โรงเรียน เพื่อให้เด็กเก็บไข่ไปให้คุณยายทำกับข้าว ขณะเดียวกันจะสำรวจครัวเรือนที่มีที่ดินว่างเพื่อขุดสระบ่อ ปล่อยพันธุ์กบ ปลา ปูนา เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดรายจ่าย การทำกิจกรรมร่วมกันนี้ทำให้เกิดการสนทนาระหว่างวัย และกระชับช่องว่างระหว่างวัย ให้ใกล้ชิดขึ้น







