พลิกโฉมหอผู้ป่วยวิกฤต! ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ยกระดับ SMART ICU อัจฉริยะ

พลิกโฉมหอผู้ป่วยวิกฤต! ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ขับเคลื่อนนวัตกรรม SMART ICU ยกระดับการรักษา เพิ่มโอกาสรอดชีวิต
รศ. นพ.สุนัย ลีวันแสงทอง รองผู้อำนวยการสายการแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ ความต้องการด้านบริการทางการแพทย์และสุขภาพของผู้สูงอายุจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ พฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคดิจิทัล ส่งผลต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ และความซับซ้อนในการวินิจฉัยและการรักษา เสี่ยงเข้าสู่ภาวะวิกฤตที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งพบได้ในทุกช่วงวัย เหล่านี้ล้วนเป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายการพัฒนาระบบการแพทย์ในปัจจุบัน
ผศ. พญ.ศรีสกุล จิรกาญจนากร ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะทาง (ผู้ป่วยวิกฤต) กล่าวว่า โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้เตรียมความพร้อมรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยวิกฤต เพิ่มจำนวนเตียง ICU จากเดิม 75 เตียง เป็น 92 เตียง เพื่อให้สามารถดูแลผู้ป่วยวิกฤตได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลยังได้นำนวัตกรรมทางการแพทย์ SMART ICU เข้ามาเสริมศักยภาพในการดูแลรักษาผู้ป่วย เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างแม่นยำ ลดความคลาดเคลื่อนในการรักษา และสนับสนุนการตัดสินใจของทีมแพทย์แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังช่วยลดภาระงานของพยาบาล ทำให้บุคลากรสามารถทุ่มเทเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นตัวได้รวดเร็ว และกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวมด้วยความเข้าใจ (Empathy) โดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และพยาบาลเฉพาะทางผู้ป่วยวิกฤต รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ เช่น เภสัชกร นักกำหนดอาหาร นักกายภาพบำบัด โดยเน้นการสื่อสารด้วยความชัดเจน โปร่งใส ในมิติระหว่างโรงพยาบาลกับครอบครัวของผู้ป่วย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวทางการรักษา ติดตามกระบวนการดูแล และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุข
ทางโรงพยาบาลกำลังเตรียมความพร้อมจะขยายจำนวนเตียงสำหรับการดูแลผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ผ่านพ้นวิกฤตจากหอผู้ป่วย ICU แต่ยังต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งญาติสามารถเฝ้าผู้ป่วยได้เหมือนกับหอผู้ป่วยปกติ จึงทำให้สามารถให้การรักษาพยาบาลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเอื้อให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยสร้างกำลังใจให้การฟื้นตัวของผู้ป่วยให้ดีขึ้นตามลำดับ
พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลยังแนะนำให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์การป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะวิกฤตทางสุขภาพ โดยส่งเสริมให้มีการตรวจคัดกรองโรคอย่างสม่ำเสมอ การเฝ้าระวังเชิงป้องกัน ควบคู่กับการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายเป็นประจำ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยรุนแรงและภาวะวิกฤตทางสุขภาพ ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยวิกฤตในระยะยาว และส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน







