ความปลอดภัย 4.0 เรื่องที่ต้องป้องกันแต่เนิ่นๆ

ความปลอดภัย 4.0 เรื่องที่ต้องป้องกันแต่เนิ่นๆ

อุบัติภัยสาธารณะที่น่าตกใจเมื่อเร็วๆ นี้ ก็คือในกรณี “ถนนทรุดตัว ลึก 50 เมตร หน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ต้องเร่งอพยพผู้ป่วย – ชาวบ้าน” (ข่าวเช้า 24 ก.ย.2568)

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากภัยสาธารณะแต่ละครั้ง (รวมถึงกรณีของการก่อสร้างถนนพระราม 2) มักจะสร้างความเสียหายจำนวนมาก

แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมี “อุบัติเหตุอันตรายในสถานประกอบการ และโรงงานอุตสาหกรรม” ที่เกิดขึ้นทุกวันทุกนาที ซึ่งทำให้คนงานบาดเจ็บ พิการ ล้มตาย และอาจมีทรัพย์สินเสียหายร่วมด้วย แต่มักจะไม่เป็นข่าว เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสถานประกอบการและโรงงานเท่านั้น ซึ่งว่ากันเองในเรื่องของการชดเชย

ทุกวันนี้ ความปลอดภัยในสถานประกอบการ และโรงงาน จึงเป็นเรื่องที่สังคมไม่ควรมองข้าม เพราะก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก และอาจขยายผลความร้ายแรงเป็นวงกว้างสู่สาธารณภัยได้ด้วย เช่น กรณีไฟไหม้หรือระเบิด เป็นต้น ซึ่งมีผลพวงในเชิงลบต่อเราทุกคน

คนงานกับความปลอดภัยในการทำงาน จึงเป็นโจทย์ใหม่ในยุค “อุตสาหกรรม 4.0” (Industry 4.0) ที่สังคมไทยต้องเตรียมรับมือ และวางแผนป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ในวันนี้

เพราะ “เทคโนโลยี” และ “นวัตกรรม” ที่เกิดขึ้นใน “อุตสาหกรรม 4.0” เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลจำนวนมาก (Big Data) เป็นต้น ได้เข้ามาปฏิวัติการทำงานในโรงงานที่ทันสมัย โดยเฉพาะเรื่องของความเร็วและประสิทธิภาพของการผลิตที่เพิ่มขึ้น

แต่ในมุมของ “คนงาน” แล้ว ก็ยิ่งจะทำให้มีความกังวลใหม่ๆ ในเรื่องของ “การป้องกันอุบัติเหตุ” และ “การสร้างเสริมความปลอดภัย” ยุคใหม่ เพราะการทำงานกำลังเปลี่ยนจากเรื่องของการสวมใส่ “อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล” (PPE) ไปสู่การต้องร่วมทำงานและการจัดการกับเครื่องจักรอุปกรณ์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย และมีความซับซ้อนมากขึ้น

ยุคของ “อุตสาหกรรม 4.0” จึงนำมาซึ่ง “ความรวดเร็วมีประสิทธิภาพ” พร้อมๆ กับ “ความเสี่ยง” ใหม่ๆ ว่าไปแล้ว เทคโนโลยีใหม่ๆ จะช่วยสร้าง “เกราะป้องกัน” ให้กับคนงานด้วยซ้ำไป อาทิ ทำให้คนงานสามารถลดการทำงานในสภาพแวดล้อมอันตรายหุ่นยนต์สามารถทำงานในพื้นที่เสี่ยง (บริเวณที่มีอุณหภูมิสูง มีสารเคมีอันตราย)

หุ่นยนต์ช่วยทำงานที่หนักและซ้ำๆ กันแทนคนได้ ทำให้คนงานไม่ต้องสัมผัสหรือใกล้ชิดกับอันตรายโดยตรง เป็นต้น

ทุกวันนี้ หุ่นยนต์ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย การมี Sensor ตรวจจับการชนกระแทกและแจ้งเตือนล่วงหน้า โดยไม่ต้องมีคอกกั้นแยกการทำงาน เมื่อต้องยกชิ้นงานหนักๆ หรือทำงานที่ต้องการความละเอียด หุ่นยนต์จะเป็นตัวที่ช่วยลดการบาดเจ็บจากงานโยกย้ายหรือการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ได้

การคาดการณ์ล่วงหน้าด้วย Sensor หรือ IoT ก็จะช่วยติดตามสภาพการทำงานของเครื่องจักรได้ตลอดเวลา สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำนายว่า ชิ้นส่วนใดจะเสียหายก่อนที่จะเกิดเหตุ ทำให้สามารถซ่อมบำรุงได้ทันเวลา ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากเครื่องจักรขัดข้องอย่างฉับพลันได้ ระบบเตือนภัยได้ล่วงหน้าเช่นนี้ จะช่วยลดอุบัติเหตุอันตราย และความสูญเสียได้มากมาย

เมื่อระบบการผลิตเป็นดิจิทัลและเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงที่แปลกใหม่ขึ้นด้วย โอกาสที่คนงานจะบาดเจ็บ พิการ ก็อาจมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรณี Cyber Security ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย การถูกแฮกเกอร์โจมตี อาจทำให้ระบบความมั่นคงปลอดภัยล่ม หรือสั่งการเครื่องจักรให้ทำงานผิดพลาด จนเกิดอันตรายได้

 

ปัจจุบันยังมีคนงานจำนวนมากที่ไม่คุ้นเคยกับการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ หรือ AI ทำให้เกิดช่องว่างของทักษะความชำนาญ (ปัญหาของความรู้ความชำนาญที่มีอยู่เดิมกับทักษะของการทำงานแบบใหม่) การขาดความรู้และไม่มีการฝึกอบรมที่เพียงพอ อาจนำไปสู่การปฏิบัติงานที่ผิดพลาดจนเกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่เข้าใจหลักการทำงานหรือข้อจำกัดของเครื่องจักรอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ การที่คนงานต้องตัดสินใจจากข้อมูลจำนวนมากบน Dashboard หรือต้องทำงานแข่งกับความเร็วของเครื่องจักรอัตโนมัติ ทำให้เกิดความเครียดทางจิตใจและเกิดความกดดันในรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นอันตรายที่มองไม่เห็น

การบาดเจ็บจากการทำงานร่วมกันระหว่างคนและเครื่องจักรจึงเป็นปัญหาใหม่ ถึงแม้หุ่นยนต์จะถูกออกแบบมาให้ปลอดภัย แต่การออกแบบบริเวณที่ทำงานที่ไม่ดี หรือการบำรุงรักษาที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน

การฝึกอบรมที่ทันสมัยและต่อเนื่อง (Upskill, Reskill, Newskill) จึงจำเป็นอย่างยิ่งและต้องไม่จำกัดอยู่แค่การสอนให้กดปุ่มเพื่อเดินเครื่องใช้งานเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานที่ถูกต้องชัดเจน ข้อจำกัด และขั้นตอนการทำงาน รวมถึงขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเมื่อระบบมีปัญหาด้วย โดยเฉพาะการฝึกซ้อมฉุกเฉินในสถานการณ์ต่างๆ

การที่จะทำให้คนงานสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ผู้บริหารจะต้องปรับเปลี่ยน Mindset ของตนเอง โดยยึดการออกแบบที่ “คนเป็นศูนย์กลาง” (Human-Centric Design) เพื่อให้คนงานทำงานหรือใช้งานได้ง่าย โดยไม่เพิ่มจุดเสี่ยง หรือจุดอันตราย

ไม่สร้างความสับสน หรือเพิ่มความเครียดที่ไม่จำเป็น ดังนั้น การออกแบบจึงต้องคำนึงถึงหลักการของ “การยศาสตร์” (Ergonomics) ด้วย

“ความปลอดภัย 4.0” จึงเป็นเรื่องของ “ความทันสมัย” ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมในยุค Digital และ AI ซึ่งต้องอาศัย “ความชำนาญเฉพาะด้าน” จาก “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงมากขึ้น ตลอด Supply Chain (ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ)

แต่นี้ไปคงไม่ใช่การบริหารจัดการความปลอดภัยแบบเดิมๆ แต่ต้องเป็น “มืออาชีพ” มากขึ้น เพื่อให้คนไทยเรามี “คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” คือ ไม่อยู่ในความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บพิการอย่างทุกวันนี้ ครับผม !