เกือบ 50 % ‘ผู้สูงอายุแบกหนี้’ ไร้เงินออม 50 ปี เริ่มทำงานลดลง

ผู้สูงอายุเกือบครึ่งแบกหนี้ เริ่มลดการทำงานตั้งแต่อายุ 50 ปี ยุทธศาสตร์ “4 พลัง” เคลื่อนรับสังคมสูงวัย ในมุมมอง “ดร.เอกนิติ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง
KEY
POINTS
- ผู้สูงอายุไทยเกือบ 50% ไม่มีเงินออม และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นหนี้
- รายได้หลักของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มาจากบุตร (35.7%) รองลงมาคือการทำงาน (33.9%) และเบี้ยยังชีพ
- คนไทยเริ่มลดการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานลงอย่างชัดเจนตั้งแต่อายุ 50-55 ปี
- ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าในปี 2583 จะมีผู้สูงอายุคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากร
สังคมคาดหวังและจับตาสูงเมื่อมีชื่อ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง ในรัฐบาลนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล แน่นอนโจทย์สำคัญภายใต้รัฐบาลระยะเวลาสั้น เป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ”
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะหนีเรื่องของการรับมือ “สังคมสูงวัย” เพราะเชื่อมโยงอย่างมากถึงภาคเศรษฐกิจ ในวันที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ขณะที่คนไทยยังเผชิญภาวะ “แก่ก่อนรวย”
เกือบ 50 %ไร้เงินออม-มีหนี้
ปี 2566 ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุมากกว่า 20 %ของประชากร มีเด็กราว 16 % วัยแรงงาน 63.6 % ส่วนปี 2576 ผู้สูงอายุมากกว่า 28 % เด็กราว 14 % วัยแรงงาน 57.86 % และปี 2583 ผู้สูงอายุ 31.37 % คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เด็กราว 12.79 % วัยแรงงาน 55.83 %
ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง ไม่มีเงินออม รวมถึง เกือบครึ่งที่ตนเองและหรือครอบครัวมีหนี้ ขณะที่ แหล่งรายได้ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ 35.7 % จากบุตร รองลงมา 33.9% จากการทำงาน และ13.3% เบี้ยยังชีพ และการมีส่วนร่วมในแรงงานเริ่มลดลงอย่างชัดเจนช่วง 50-55 ปี ผู้หญิงเริ่มลดลงตั้งแต่ อายุ 50 ปี และผู้ชายตั้งแต่ 55 ปี เป็นการสะท้อนแนวโน้มการลดลงของการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานตั้งแต่กลุ่ม pre-aged
ในช่วงปี 2558-2566 มีสัดส่วนผู้สูงอายุทำงาน เฉลี่ย 36.5 % หรือราว 4.4ล้านคนต่อปี รายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุ ราว 6.1 แสนล้านบาท และแนวโน้มในปี 2567-2576 สัดส่วนผู้สูงอายุทำงานสูงขึ้น เฉลี่ยเป็น 37 % คาดว่าจะถึง 6.6 ล้านคนในปี 2576 โดยรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 8.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ หนึ่งในนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในมิติด้านสังคมหวังว่าคงจะมีเรื่องของการรองรับ “สังคมผู้สูงอายุ”ด้วย ภายใต้การนำทัพของ“นายกฯอนุทิน” ที่เป็นอดีตรมว.สธ. รวมกับ “เอกนิติ” รองนายกฯและรมว.คลัง ที่สมัยเป็นนักศึกษาวปอ.รุ่น 66 ทำวิจัยเรื่องสังคมสูงวัย
รายได้ลด-ภาระพึ่งพิงรัฐหนัก
ย้อนไปสมัยที่ “ดร.เอกนิติ” ยังดำรังตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต “กรุงเทพธุรกิจ”ได้มีโอกาสรับฟังมุมมองเรื่อง “สังคมผู้สูงอายุ”ของรองนายกฯและรมว.คลังภายในงาน“สานพลังไทย รับมือสูงวัย ไปด้วยกัน” (Smart Aging Society, Together we can)” ครั้งที่ 1 มิติเศรษฐกิจ จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับมูลนิธิสานพลังเพื่อแผ่นดิน (มสผ.) และองค์กรเจ้าภาพอีก 10 องค์กร
เวลานั้น “ดร.เอกนิติ” กล่าวว่า ราว 6 ปีจำนวนประชากรสูงวัยของไทยจะเป็น 30 % ซึ่งสังคมสูงวัยส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจหนักมาก
1.เมื่อรายได้คนลดลงจากการเป็นผู้สูงอายุ ทำให้การบริโภคลดลง การลงทุนลดลง ศักยภาพการผลิตในหมวดกำลังคนลดลง ซึ่งเดิมไทยGDPโต 4-5 % แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ เศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางโตกลับไปที่ 4-5 %
2.ภาระพึ่งพิงรัฐหนักมาก โดยทุกคนจะกลับมาพึ่งภาระการคลัง ขณะที่ฐานรายได้หายไป ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินรายได้บุคคลธรรมดาที่ลดลง แต่รายจ่ายเพื่อดูแลประชาชนจะเพิ่มขึ้นมาก เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ ค่ารักษาพยาบาล ไม่นับรายจ่ายประชานิยม
“จะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ส่วนครัวเรือนก็เช่นเดียวกันรายได้ลดลง แต่รายจ่ายสูงขึ้น สุดท้ายจะเป็นหนี้มากขึ้น จะเกิดปัญหาหนี้คู่แฝด คือหนี้รัฐและหนี้ครัวเรือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และลดยากลงเรื่อยๆ”ดร.เอกนิติกล่าว
ขยายอายุการทำงาน-ลดภาษีภาคอุตฯ
ยุทธศาสตร์การรับมือเศรษฐกิจไทยในยุคสังคมสูงวัย ต้องมี 4 สานพลัง ได้แก่ 1.พลังเศรษฐกิจ แน่นอนต้องมีการขยายอายุการทำงาน เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ทำงาน ส่งเสริมการทำงานอาจจะมีแรงจูงใจด้านภาษีในการจ้างงานผู้สูงอายุ และรีสกิลผู้สูงอายุให้มีทักษะใหม่ๆ เช่น AI ทักษะดิจิทัล และดาต้า รวมถึงเทรนทักษะแห่งโลกอนาคตที่สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้
ส่วนเรื่องแรงงาน ประเทศไทยต้องเปิดรับแรงงานที่มีทักษะโลกยุคใหม่จากต่างชาติมากขึ้น และเรื่องการลงทุน อาจจะต้องพิจารณาลดภาษีให้ภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุและผู้พิการ เพื่อทำให้อุตสาหกรรมเกิดขึ้นมารองรับสังคมผู้สูงอายุ และต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ดาต้า เพราะจะนำไปสู่เรื่อง Telehealth
การออมภาคบังคับ คนฐานราก
2.พลังสังคม มีปัญหาหนักเรื่องความเหลื่อมล้ำ คนข้างบนมีเงิน มีRTF มีสำรองเลี้ยงชีพดูแลตัวเองได้ คนตรงกลางมนุษย์เงินเดือน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีกองทุนประกันสังคมแต่ไม่พอ คนที่อยู่ในระบบราว 15 ล้านคน ต้องมีการขยายเงินสมทบให้มากขึ้น และไม่ควรจำกัดแค่เงินเดือน 15,000 บาท และคนฐานรากที่ไม่มีอะไรดูแลเลย จำเป็นจะต้องมีการออมภาคบังคับ
3.พลังท้องถิ่น ต้องกระจายอำนาจให้ดูแลผู้สูงอายุโดยจับมือกับภาครัฐและเอกชน เช่น จากโรงเรียนที่มีจำนวนมาก แต่เมื่ออัตราการเกิดลดลงก็จะมีเด็กเรียนน้อย โรงเรียนจะว่างมากก็ควรเปลี่ยนเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุโดยให้อสม.เข้ามาช่วยดูแล
Wellness ดึงต่างชาติเชื่อมถึงท้องถิ่น
และ4.พลังธุรกิจ แบ่งเป็น 3 หมวด เกษตร อุตสาหกรรม และบริการ โดยในหมวดเกษตร สัดส่วนGDP อยู่แค่ 6 % แต่ใช้กำลังคน 30 % จึงต้องทำเรื่อง “เกษตรแม่นยำ” ใช้เทคโนโลยีเข้าไปคำนวณเรื่องกำลังคน เวลาปลูก ผลผลิตต่อไร่ เพื่อให้ไทยเป็นเจ้าการผลิตต่อไป
- ภาคอุตสาหกรรม ยังพึ่งอุตสาหกรรมเก่ามาก จึงต้องเน้นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล ดาต้า และต้องใช้แรงงานมีทักษะจากต่างประเทศ
- ส่วนภาคบริการ จะต้องเน้นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Wellness ดึงต่างชาติเข้ามาและเชื่อมต่อไปถึงท้องถิ่นให้ได้ รวมถึงสมุนไพรไทย และอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ
ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของรองนายกฯและรมว.การคลัง “ดร.เอกนิติ” ครั้งสมัยที่ยังเป็น “อธิบดีกรมสรรพสามิต” ซึ่งเป็นฝ่ายข้าราชการประจำ แต่เมื่อเข้ารับตำแหน่ง “ฝ่ายการเมือง” อาจมีมุมมองที่เปลี่ยนไปได้....ต้องติดตามนโยบายรัฐบาลนายกฯอนุทินอย่างใกล้ชิด







