สามเส้นทางคุ้มครองผู้บริโภค - การมีประชาธิปไตย | มุมมองบ้านสามย่าน

หากติดตามการทำงานของสภาองค์กรของผู้บริโภคทั้งในสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ของหน่วยงานจะพบกับการทำงานเชิงรุกและเห็นความคืบหน้าในคุ้มครองผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
สภาองค์กรผู้บริโภคได้ถูกก่อตั้งสำเร็จในเดือนตุลาคม 2563 หลังจากการผลักดันมากว่า 20 ปีตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีมานี้ราวกับว่าแสงแห่งความหวังของผู้บริโภคไทยได้ปรากฏขึ้นแล้ว
แม้ว่าดูมีความหวัง แต่ถึงต้องใช้เวลาก่อตัวกว่า 20 ปี ผู้เขียนตั้งคำถามนี้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “บทบาททุนทางสังคมในการเคลื่อนไหวของประชาสังคมผู้บริโภค: กรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง ไทย สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้” การค้นคว้าทำให้เห็นเส้นทางที่แตกต่างกันในการคุ้มครองผู้บริโภคระหว่าง 3 ประเทศ
โดยในประเทศไทยกว่าองค์กรผู้บริโภคจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและยึดโยงกับประชาชนต้องผ่าน พ.ร.บ. จัดตั้งสภาผู้บริโภคเสียก่อน ซึ่งจากต่างสหรัฐอเมริกาที่สามารถมีองค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระต่อรัฐอันประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐและคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแข็งขัน
หรือเกาหลีใต้ที่มีองค์กรกำกับดูแลการคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันการผูกขาดที่ปรับตัวรวดเร็วและทำงานอย่างแข็งขันจนมีการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพได้
ข้อสังเกตคือ ทั้ง 2 ประเทศหลังนี้ไม่ต้องออกกฎหมายมาเพื่อรับรองและให้อำนาจองค์กรที่เป็นตัวแทนภาคประชาสังคมด้านผู้บริโภคอย่างเช่นในไทย ดังนั้นเส้นทางพัฒนาและผลลัพธ์การคุ้มครองผู้บริโภคจึงอาจต้องอธิบายตัวปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ร่างกฎหมาย (แต่ก็มีความเชื่อมโยงกัน) และสิ่งที่ผู้เขียนได้ให้ความสนใจคือเรื่อง “ทุนทางสังคม”
ทุนทางสังคม หมายถึง คุณสมบัติขององค์กรทางสังคม เช่น เครือข่าย บรรทัดฐาน และความเชื่อใจทางสังคม ที่ช่วยประสานและสร้างความร่วมมือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และในการบรรลุวัตถุประสงค์การคุ้มครองผู้บริโภค เหล่าผู้บริโภคต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มภาคประชาสังคมเพื่อข้อร้องเรียนและนโยบายเพื่อคุ้มครองตนและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
แนวคิดของ Michael Woolcock ได้แบ่งทุนทางสังคมเป็น 3 ประเภท คือ ทุนทางสังคมภายในเครือข่ายใกล้ชิด (Bonding social capital) อย่างความร่วมมือกันในกลุ่มประชาสังคมเอง ทุนทางสังคมภายนอกเครือข่ายใกล้ชิด (Bridging social capital) อย่างการร่วมระหว่างกลุ่มประชาสังคมประเภทต่าง ๆ
และ ทุนทางสังคมกับเครือข่ายที่มีอำนาจต่างกัน (Linking social capital) อย่างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและกลุ่มประชาสังคม
สำหรับสหรัฐอเมริกามีรากฐานสำคัญของสังคมเกิดจากการรวมกลุ่มโดยสมัครใจเป็นสมาคมหรือการมีกลุ่มประชาสังคมเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใด ๆ ทั้งภาครัฐและประชาชนมีทัศนคติที่ดีกับภาคประชาสังคม และภาคประชาสังคมก็เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีองค์กรประชาสังคมในสหรัฐมากถึง 1.5 ล้านองค์กร
ในช่วงทศวรรษที่ 1960 มีหลายเหตุการณ์ที่เป็นรากฐานของการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งการที่พรรค Democrat ได้เป็นรัฐบาลในสมัย Kenedy และ Johnson ที่มีนโยบายสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและสนับสนุนสิทธิผู้บริโภค การมีผู้นำภาคประชาสังคมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคอย่าง Ralph Nader ที่มีอิทธิพลสูง
และกระแสความเคลื่อนไหวเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภคที่ทำให้ทั้งสังคมเห็นด้วยกับประเด็นการคุ้มครองผู้บริโภค และเศรษฐกิจที่ขยายตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นำมาสู่กฎหมายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคหลายฉบับในสหรัฐที่ส่งผลและเป็นรากฐานสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภคในกาลต่อมา
แม้ในช่วงที่พรรค Republican กันได้รับชัยชนะและเศรษฐกิจถดถอยเลยทำให้การผลักดันกฎหมายเหล่านี้ล่าช้าลงไปบ้างก็ตาม หากติดตามภาคประชาสังคมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐในปัจจุบัน จะพบว่ามีความร่วมมือกันกับภาคประชาสังคมอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น การต้านควบรวมของ Amazon และ iRobot จนสำเร็จ มีทั้งประชาสังคมด้านการคุ้มครองผู้บริโภค
ด้านเทคโนโลยีและอื่น ๆ ร่วมมือกันกว่า 26 องค์กรเรียกร้องแก่หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง Federal Trade Commission และ European Commission เองก็เข้ามาร่วมคัดค้านจนต้องหยุดข้อตกลงนี้ในที่สุด ทำให้เห็นถึงทุนทางสังคมแบบ Bridging ในการคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา
ภาคประชาสังคมเกาหลีใต้อยู่คู่กับการเรียกร้องประชาธิปไตยมาตั้งแต่รัฐบาลอำนาจนิยมของประธานาธิบดี Rhee Syng-Man, Park Chung-Hee และ Chun Doo-Hwan จนกระทั่งได้ประชาธิปไตยในที่สุดในปี ค.ศ. 1987
แม้การคุ้มครองผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในปัจจุบันจะไม่ได้นำโดยกลุ่มภาคประชาสังคมด้านการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เป็นการนำโดยหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐอย่าง Korea Fair Trade Commission และ Korea Consumer Agency ที่ทำหน้าที่เชิงรุกในการป้องกันการผูกขาดและการคุ้มครองผู้บริโภค
การที่หน่วยงานเหล่านี้มีความกระตือรือร้นมาจากการมีระบบการเมืองที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทันท่วงทีอันเนื่องมาจากระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งและภาคประชาสังคมที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐและธุรกิจใหญ่อย่างเข้มแข็ง
โดยเฉพาะรัฐบาลจากพรรคฝ่ายก้าวหน้ามีความพยายามปฏิรูปการเมือง แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผูกขาดอย่างรุนแรงในเกาหลีใต้อยู่เสมออย่าง Monopoly Regulation and Fair Trade Act ที่มีมาตั้งแต่ปี 1980 ได้รับการปรับปรุงมามากกว่า 60 ครั้งจนถึงปัจจุบัน
และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่มีการปรับปรุงอยู่เสมอเป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทันท่วงทีและเชิงรุก จึงเห็นได้ถึงทุนทางสังคมแบบ Linking ที่แข็งแรงของเกาหลีใต้อย่างมาก
สำหรับประเทศไทย เราได้เห็นความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนในการผลักดันกฎหมายและก่อตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคได้สำเร็จแม้ต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทุนทางสังคมแบบ Bonding ในกลุ่มนี้ที่ยืนหยัดอย่างไม่หยุดหย่อนในการผลักดัน
แม้ต้องเจอกับความไม่แน่นอนทางการเมืองตั้งแต่สมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ต้องเจอทั้งการยุบสภา การรัฐประหาร การยุบไปของหน่วยงานที่สนับสนุนกฎหมายด้วยเหตุผลทางการเมือง
ความไม่มั่นคงทางการเมืองและภาวะไม่เป็นประชาธิปไตยคงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก แต่สำคัญต่อภาคประชาสังคมเพราะการมีประชาธิปไตยที่มั่นคงย่อมส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมต่าง ๆ เติบโตและร่วมมือกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือส่งเสริมทั้งทุนทางสังคมแบบ Linking และ Bridging ในสังคมไทยได้
ดังนั้น การมีประชาธิปไตยที่แข็งแรงจึงเป็นผลลัพธ์ขั้นกลางที่จะส่งผลดีต่อการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการมีการเมืองที่มั่นคงทำให้กระบวณการเสนอกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคไม่หยุดชะงักจากความไม่แน่นอนทางการเมือง การมีทัศนคติที่ดีต่อกลุ่มประชาสังคมต่าง ๆ
โดยไม่มองว่าภาคประชาสังคมเป็นปัญหาต่อความมั่นคงของประเทศเป็นแรงสำคัญที่จะช่วยประเทศพัฒนาและโอบรับทุกกลุ่มในสังคม แล้วเอื้อให้กลุ่มประชาสังคมร่วมมือกันอย่างเช่นผลักดันให้เกิด “กฎหมายส่งเสริมภาคประชาสังคม” ให้เกิดขึ้นได้ที่ทำให้มีกลุ่มต่าง ๆ ความยั่งยืนในการดำเนินงาน ไม่ใช่เป็นกฎหมายเพื่อควบคุมประชาสังคม
ดังที่กล่าวมานี้เป็นการส่งเสริมทุนทางสังคมแบบ Linking และ Bridging ที่ยังอ่อนแอในประเทศไทย ในส่วนของทุนทางสังคมแบบ Bonding มีความแข็งแรงอยู่แล้วในกลุ่มภาคประชาสังคมเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคไทยก็จงรักษาความกลมเกลียวดังกล่าวต่อไป
เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญในกับการสร้างทุนทางสังคม 2 ประเภทข้างต้นเพิ่มขึ้นดังที่ได้กล่าวมา เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคของไทยลงหลักปักฐานและแข็งแรงในที่สุด







