ปลดล็อกงบซ่อมบ้านเพื่อกลุ่มเปราะบาง ก้าวแรกที่ต้องเร่งก้าวต่อไป

ปลดล็อกงบซ่อมบ้านเพื่อกลุ่มเปราะบาง ก้าวแรกที่ต้องเร่งก้าวต่อไป

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ออกระเบียบว่าด้วยการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนทุกช่วงวัย พ.ศ. 2567 ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567

นับเป็นจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างที่ทลายกำแพงข้อจำกัดซึ่งเป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยให้กลุ่มเปราะบางในสังคมมานานนับทศวรรษ หลักสำคัญคือการ “ปลดล็อก” ให้หน่วยงานต่างๆ สามารถบูรณาการงบประมาณจากหลายสิทธิ์มารวมกันเพื่อซ่อมแซมหรือสร้างบ้านหนึ่งหลังได้อย่างสมบูรณ์ 

หัวใจของการเปลี่ยนแปลงระเบียบนี้คือ การบูรณาการงบประมาณตามสิทธิ์ในบ้านหลังเดียว จากเดิมที่บ้านหนึ่งหลังซึ่งมีผู้สูงอายุและคนพิการอาศัยอยู่ด้วยกัน อาจได้รับความช่วยเหลือเพียงสิทธิ์เดียวและไม่เคยเพียงพอต่อการซ่อมแซมจริง

ระเบียบใหม่ในข้อ 9 วรรคสอง ได้ปลดล็อกเงื่อนไขนี้โดยอนุญาตให้บ้านหลังหนึ่งสามารถรับความช่วยเหลือตามสิทธิ์ของผู้อยู่อาศัยทุกคนได้ เช่น หากมีผู้สูงอายุและคนพิการอาศัยอยู่ด้วยกัน ก็สามารถใช้งบประมาณจากทั้งกรมกิจการผู้สูงอายุและกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมารวมกัน เพื่อซ่อมแซมบ้านหลังนั้นได้ในคราวเดียว 

นอกจากนี้ ระเบียบยังมุ่งสร้างมาตรฐานเดียวเพื่อลดความขัดแย้ง โดยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกรอบการทำงานกลางสำหรับทุกกรมในสังกัด พม. ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย “คนทุกช่วงวัย” ตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ครอบครัว คนพิการ และผู้สูงอายุ ทำให้แนวทางการช่วยเหลือเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตจากการทำงานอย่างหนักตลอดหลายปี โดยศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ทำการวิจัยและลงพื้นที่ปรับปรุงบ้านจริงมาอย่างต่อเนื่อง

 

ข้อมูลจากงานวิจัย สนับสนุนโดย วช. เรื่อง "บ้านเสื่อมโทรมมาก" และการพัฒนาโมเดล "บ้านแสนอยู่ดี" ได้ชี้ให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กับต้นทุนการซ่อมแซมจริง งานวิจัยได้นำเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกือบสิบหน่วยงาน เพื่อยืนยันว่าการแก้ปัญหาแบบแยกส่วนและงบประมาณที่ไม่เพียงพอนั้นนำไปสู่วงจร "ซ่อมซ้ำซาก" ที่สูญเปล่า

แม้ว่าการเพิ่ม "วงเงิน" ต่องบประมาณจะยังเป็นเป้าหมายต่อไป แต่การ "ปลดล็อก" ให้สามารถบูรณาการงบประมาณได้ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้งบประมาณที่มีอยู่ถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลองนึกภาพว่าการนำงบ 40,000 บาทของผู้สูงอายุ มารวมกับงบ 40,000 บาทของคนพิการ

ทำให้ได้งบประมาณรวม 80,000 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขค่าซ่อมแซมจริงที่งานวิจัยของเราค้นพบ (เฉลี่ย 78,430 บาท) นี่คือ การเปลี่ยนจากซ่อมซ้ำซาก หรือ "ซ่อมไม่ได้จริง" ไปสู่ "ซ่อมให้จบได้ในครั้งเดียว"

ก้าวต่อไปที่ต้องตั้งความหวัง

บ้านของคนกลุ่มเปราะบางที่รั่วทุกครั้งเมื่อฝนตก พื้นไม้ผุพังจนเดินเหินลำบาก ห้องน้ำที่ไม่มีราวจับกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่สุดในบ้าน แต่งบประมาณช่วยเหลือซ่อมแซมจากภาครัฐกลับกลายเป็นความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง

เมื่อพบว่าเงินที่ได้รับไม่เพียงพอที่จะซ่อมแซมบ้านให้กลับมาปลอดภัยได้อย่างแท้จริง นี่คือ ภาพสะท้อนของวงจรที่น่าหดหู่และสิ้นเปลืองงบประมาณที่เรียกว่าการซ่อมซ้ำซาก ซึ่งเกิดขึ้นวนเวียนทั่วประเทศ และไม่เคยแก้ปัญหาได้จริง

เพื่อที่จะเข้าใจปัญหานี้ เราต้องย้อนกลับไปดูที่มาของตัวเลขงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2552 ระเบียบสำหรับคนพิการกำหนดงบปรับปรุงบ้านไว้ไม่เกิน 20,000 บาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 กรมกิจการผู้สูงอายุได้เปิดกรอบให้ปรับปรุงบ้านได้ไม่เกิน 22,500 บาท

และล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 สำหรับกรณีที่ต้องปรับปรุงโครงสร้าง งบประมาณได้ถูกขยับขึ้นมาเป็น 40,000 บาท แม้จะมีการปรับขึ้น แต่ตัวเลข 40,000 บาทนี้ก็ถูกแช่แข็งมานานหลายปี

สวนทางกับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างที่ชี้ชัดว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2557–2567) ราคาวัสดุโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นถึง 7.36% ปัญหานี้ยังซ้ำเติมด้วยข้อกำหนดด้านค่าแรงช่าง ซึ่งผูกติดกับค่าวัสดุ เมื่องบสำหรับวัสดุไม่เพียงพอ ค่าแรงที่จ้างได้ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาช่างฝีมือดีมาดำเนินงานให้มีคุณภาพและเสร็จสมบูรณ์ได้จริง

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการซ่อมแซมที่ทำได้เพียงบางส่วน ใช้วัสดุคุณภาพต่ำ และไม่นานก็ผุพังอีก ที่เลวร้ายที่สุดคือกลไกในทางปฏิบัติที่เมื่อผู้สูงอายุได้รับงบนี้แล้ว จะถูกบันทึกว่า “ได้รับการช่วยเหลือแล้ว”และหมดสิทธิ์ที่จะยื่นขออีกในปีถัดไป

ประชาชนจึงติดอยู่ในกับดักของบ้านที่ไม่ปลอดภัยอย่างถาวร นับเป็นนโยบายที่เน้น “ปริมาณ” คือการกระจายยอดให้ได้จำนวนหลังมากที่สุด แต่กลับละเลย “คุณภาพ” ที่จะทำให้บ้านแต่ละหลังดีขึ้นอย่างยั่งยืน

จากงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. และ วช. พบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่แท้จริงสำหรับการซ่อมแซมบ้านที่เสื่อมโทรมมากอยู่ที่ 78,430 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นช่องว่างขนาดมหึมาระหว่างงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้กับความเป็นจริงที่ประชาชนต้องเผชิญ

ทางออกจากวงจรซ้ำซากนี้ไม่ใช่การเพิ่มงบประมาณตามอำเภอใจ แต่คือ การปรับกระบวนทัศน์ใหม่ทั้งหมด จากงานวิจัยเสนอให้พิจารณาอนุมัติกรอบงบประมาณใหม่ 2 ระดับที่สอดคล้องกับต้นทุนและความเป็นจริงในปัจจุบัน ได้แก่

1. ไม่เกิน 60,000 บาท สำหรับการซ่อมแซมทั่วไป การปรับงบประมาณขั้นต่ำขึ้นมา จะช่วยให้ครอบคลุมราคาวัสดุที่สูงขึ้น และทำให้สามารถตั้งค่าจ้างช่างได้ถึง 18,000-22,200 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่สามารถว่าจ้างช่างฝีมือดีมาดำเนินงานให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และจบงานได้จริง ไม่ต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก

2. ไม่เกิน 120,000 บาท สำหรับบ้านที่เสื่อมโทรมมาก สำหรับบ้านที่โครงสร้างหลักเสียหายเกินจะซ่อมไหวแทนที่จะซ่อมซ้ำซากไม่มีวันจบสิ้น ควรสร้างบ้านใหม่ด้วยนวัตกรรม “บ้านแสนอยู่ดี” ที่ทีมวิจัยได้พัฒนาขึ้น เป็นบ้านขนาดกะทัดรัดที่มีพื้นที่ใช้สอยที่จำเป็นครบถ้วนในขนาดเพียง 21.5 ตารางเมตร

ก่อสร้างง่ายและรวดเร็วด้วยระบบชิ้นส่วนประกอบ (Modular) เพื่อลดเวลาที่ผู้สูงอายุต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นและที่สำคัญที่สุดคือ บ้านสามารถปรับเปลี่ยนและเคลื่อนย้ายได้ (Movable) หากผู้สูงอายุหมดสัญญาเช่าที่ดิน

แน่นอนว่าการจะปรับเปลี่ยนนโยบายที่ใช้มานานย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นอกเหนือจากการบูรณาการงบดังกล่าวข้างต้นแล้ว กระทรวง พม. ควรต้องก้าวต่อไปด้วยการทบทวนและทุบวงจรซ่อมซ้ำซากทิ้งไปเสียที เลิกจัดสรรงบประมาณที่แก้ปัญหาไม่ได้จริง แล้วหันมาสนับสนุน

แนวคิดการ “สร้าง” ที่ยั่งยืนและคุ้มค่ากว่าในระยะยาว เพราะบ้านที่ปลอดภัยคือจุดเริ่มต้นและเป็นฐานที่สำคัญที่สุดของการจัดสวัสดิการให้ครอบครัว เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงของประชาชน เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตสู่ความ “สมบูรณ์” ไม่ใช่แค่การ “บรรเทา” ที่ยังคงทิ้งปัญหาเรื้อรังไว้อย่างไม่รู้จบ