เพิ่มอำนาจต่อรองผู้บริโภค หนุนเอกชนก้าวข้ามทำธุรกิจแบบเดิม

“ผู้บริโภคไม่ใช่ศัตรูของภาคธุรกิจ การเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภคนำสู่การแข่งขันที่เข้มแข็งของธุรกิจ ในที่สุดประเทศก็พัฒนา”
KEY
POINTS
- สภาองค์กรของผู้บริโภคชี้ว่าการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐ ทำให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบและฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ
- การเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภคเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา โดยผู้บริโภคต้องตระหนักรู้ในสิทธิของตนเอง และภาครัฐต้องเลิกเอื้อประโยชน์แก่ทุนผูกขาด
- ภาคเอกชนต้องก้าวข้ามการทำธุรกิจแบบเดิมที่ไม่มีการแข่งขัน โดยหันมาแข่งขันอย่างเป็นธรรมและให้ความสำคัญกับประโยชน์ของผู้บริโภค เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ
สภาองค์กรของผู้บริโภคชี้ภัยคุกคามผู้บริโภคเผชิญกับดักผูกขาดทางเศรษฐกิจการบริหารจัดการที่ผิดทิศทางของภาครัฐเกิดการเอารัดเอาเปรียบฉุดรั้งการพัฒนาประเทศย้ำเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภค ช่วยธุรกิจแข็งแกร่ง ก้าวข้ามประเทศกำลังพัฒนา
ในวาระ “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 38 ปี ได้นำเสนอประเด็นในหัวข้อ Out of the trap เพื่อนำเสนอแนวทางการก้าวข้ามกับดักแต่ละด้านของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การเวที Thailand Economic Outlook 2026 “Out of The Trap” ในวันที่ 9 ต.ค.2568
ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภคเผยว่าตัวเลขร้องเรียนจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2565 มี 14,941 เรื่อง ปี 2566 มี 16,142 เรื่อง และปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 17,028 เรื่อง ส่วนปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) มีกว่า 18,000 เรื่อง รวมทั้งสิ้นกว่า 68,247 เรื่อง และหมวดหมู่ที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1.สินค้าและบริการทั่วไป ถือเป็นหมวดหมู่ที่มียอดร้องเรียนสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนรวมถึง 28,427 กรณี คิดเป็นสัดส่วน 41.65%
2.หมวดการเงินและการธนาคาร ซึ่งมีจำนวนเรื่องร้องเรียนรวม 18,090 กรณี คิดเป็นสัดส่วน 26.51%
3.หมวดการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ในอันดับที่สาม ด้วยยอดร้องเรียนรวม 8,018 กรณี คิดเป็นสัดส่วน 11.75 %
น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึง ภัยคุกคามด้านต่างๆซึ่งเป็นความท้าทายหลักที่ผู้บริโภคไทยกำลังเผชิญหน้าอย่างหนักหน่วงในปัจจุบัน
นอกเหนือจากความท้าทายที่เห็นได้ชัด ผู้บริโภคไทยยังติดอยู่ใน “กับดัก” ที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศมาอย่างยาวนาน นั่นคือ “กับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง” สิ่งนี้เกิดขึ้นจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการบริหารจัดการที่ออกแบบมาเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคโดยที่ภาครัฐยอมรับการออกแบบที่เอาเปรียบผู้บริโภคเหล่านี้
ยกตัวอย่างเรื่อง ประกันภัยแทนที่รัฐจะกำกับดูแลค่ารักษาพยาบาลที่แพงแต่เลือกที่จะไม่ทำ และให้ผู้บริโภครับภาระร่วมจ่ายเมื่อเกินวงเงินหรือภาคโทรคมนาคม การรวมกิจการที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้ลดการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจไม่จำเป็นต้องปรับปรุงหรือรักษาประโยชน์ของผู้บริโภค เพราะพวกเขามีลูกค้าอยู่ในมืออยู่แล้วสถานการณ์นี้ทำให้ประเทศหลุดจากกับดักรายได้ปานกลางไม่ได้ เพราะธุรกิจไม่ต้องแข่งขัน
ภาคพลังงานผู้บริโภคต้องจ่ายค่าไฟฟ้าสำรองและค่าลงทุน ทั้งที่บริษัทผลิตไฟฟ้าในประเทศสามารถผลิตไฟฟ้าให้ประเทศอื่นได้ในราคาถูกกว่ามากกลไกรัฐกลับสนับสนุนให้เกิดการเอาเปรียบ ทำให้ผู้บริโภคไม่มีอำนาจต่อรอง เพราะไม่มีตัวเลือก
“การผูกขาดทุนในหลายกิจการไม่ว่าจะเป็นโทรคมนาคม ไฟฟ้า พลังงาน หรือการค้าปลีก ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคสถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความล้มเหลวในการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจให้ความสำคัญ”น.ส.สารีกล่าว
กับดักอัลกอริทึม-พฤติกรรมผู้บริโภค 0
การใช้เทคโนโลยีออนไลน์ ทำให้ “อัลกอริทึม” อีกหนึ่งกับดักสำคัญในยุคปัจจุบัน เพราะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่ผู้บริโภคเห็นและทำให้ซื้อสินค้าจากราคาถูก โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ผลิต มีคุณภาพหรือมาตรฐานหรือไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในประเทศและการคำนึงถึงประเด็นด้านแรงงาน
รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเองเป็นส่วนหนึ่งของกับดัก โดยเฉพาะความเร่งรีบและความต้องการความสะดวกสบายทำให้ละเลยความระวังทำธุรกรรมออนไลน์ มักเลือกซื้อสินค้าราคาถูกเป็นหลัก โดยไม่สนใจที่มาหรือมาตรฐานการผลิตและในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้เอง ข้อมูลข่าวสารปลอมก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้การหลอกลวงทางการเงิน เช่น แชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นได้ภายในเสี้ยววินาที แทนที่จะใช้เวลานานเหมือนในอดีตสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกับดักที่ฉุดรั้งให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพ
อย่าทำธุรกิจแบบไม่แข่งขัน
ส่วน “ภาคเอกชน” ต้อง “ก้าวข้ามการทำธุรกิจแบบเดิม” โดยไม่เอารัดเอาเปรียบ อย่าทำธุรกิจแบบไม่แข่งขัน ต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรมและพร้อมที่จะยืนข้างผู้บริโภค เชื่อว่าเช่นนี้แล้วธุรกิจถึงจะแข่งขันได้แล้วก็เป็นเพื่อนกับผู้บริโภค ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของนักธุรกิจใหม่ๆมากขึ้น
น.ส.สารี ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาและก้าวข้ามกับดักต่างๆ ที่ผู้บริโภคไทยเผชิญต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผู้บริโภคต้องตื่นตัว มีความรู้ และกล้าใช้สิทธิ์ ภาครัฐต้องปรับเปลี่ยนบทบาท เลิกเอื้อประโยชน์ให้ทุนผูกขาด จัดลำดับความสำคัญของงบประมาณอย่างชาญฉลาด และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ขณะที่ภาคเอกชนต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรมและให้ความสำคัญกับประโยชน์ผู้บริโภค
“ผู้บริโภคไม่ใช่ศัตรูของภาคธุรกิจ ซึ่งการเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับผู้บริโภคจะนำไปสู่การแข่งขันที่เข้มแข็งของภาคธุรกิจ ในที่สุดจะทำให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่เจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริงนี่เป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างให้เกิดขึ้น”น.ส.สารีกล่าว
เพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภค
สำหรับแนวทางและโอกาสที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง น.ส.สารี เสนอว่า เริ่มจากการเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้บริโภคที่เป็นแกนหลักการพัฒนา โดยผู้บริโภคต้องตระหนักรู้และรู้จักใช้สิทธิ์ของตนเอง ทั้งนี้จำนวนเรื่องร้องเรียนที่เพิ่มทุกปีเป็นสัญญาณดีว่าผู้คนเริ่มรู้จักใช้สิทธิ์มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือการใช้สิทธิ์ต้องนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ การมีความรู้ทางการเงินและการลงทุนตั้งแต่เด็กเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงรูปแบบต่างๆ เช่น การหลอกให้ลงทุนหรือหลอกให้รักแล้วโอนเงิน รวมถึงผู้บริโภคยังต้องพัฒนาทักษะการตรวจสอบข่าวสาร เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลเท็จและควรหาข้อมูลจากหลายแหล่ง"ไม่พึ่งพาเพียงอัลกอริทึมหรือสื่อที่จำกัด
ภาครัฐต้องเอื้อต่อผู้บริโภค
ขณะที่“บทบาทของภาครัฐ” มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้บริโภค รัฐจำเป็นต้อง “เปลี่ยนกลไกที่ไม่เป็นธรรม” ที่เอื้อประโยชน์ต่อทุนผูกขาด และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในภาคธุรกิจ อีกทั้งควรให้อำนาจท้องถิ่นมากขึ้น และเรื่อง“การจัดลำดับความสำคัญการใช้งบประมาณ”เป็นอีกประเด็นที่สำคัญแทนที่จะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น
อย่างเช่น โครงการทางด่วน 2 ชั้น ที่ใช้งบประมาณมหาศาลรัฐควรนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและราคาถูก เช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หรือรถ EV ฟรีในต่างจังหวัดซึ่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าสามารถทำได้จริง และจะช่วยลดปัญหาการจราจรและมลพิษ PM 2.5 ได้ด้วย







