เศรษฐศาสตร์ยาสูบ (ตอน 3) ทำอย่างไรจึงจะชนะ ทั้งรายได้รัฐและสุขภาพประชาชน

ระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 มีการประชุมวิชาการประจำปี “บุหรี่กับสุขภาพ ครั้งที่ 23” จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ประเด็น “ภาษีกับความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์จากยาสูบ” เป็นหัวข้อหนึ่งที่สำคัญในการประชุมครั้งนี้ ความสูญเสียจากภาระโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ มีมูลค่ามหาศาลหลายเท่าของมูลค่าจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบ
ดังนั้น วัตถุประสงค์สำคัญอันดับแรกในการคิดอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบคือ เพื่อลดจำนวนประชากรผู้สูบบุหรี่ ส่วนรายได้เข้ารัฐจากภาษีสรรพสามิตยาสูบเป็นผลพลอยได้ และมีความสำคัญอันดับรอง
เนื่องจากมีนักวิชาการบางท่านเสนอแนะให้จัดเก็บภาษีเป็นอัตราเดียว และลดให้ต่ำลงเป็นร้อยละ 25 เพื่อเพิ่มยอดขาย และทำให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่แนวทางนี้จะทำให้จำนวนผู้สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นมาก เกิดความเจ็บป่วยและภาระการรักษาพยาบาลตามมาอีกมหาศาล
ดังนั้น การจัดเสวนาสื่อ “ภาษียาสูบ: ทำอย่างไรจึงจะชนะ ทั้งรายได้รัฐและสุขภาพประชาชน” เมื่อวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2568 เพื่อรวบรวมข้อมูล ประสบการณ์ เสนอแนะแนวทางที่จะทำให้เกิดสมดุลระหว่างรายได้ของรัฐ และการลดจำนวนผู้สูบตามยุทธศาสตร์ของชาติ
รศ.ดร.พญ. เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอว่า การปรับอัตราภาษียาสูบ ต้องคำนึงถึงอันดับแรกคือ ผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เพราะด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาวไร่ยาสูบ รายได้รัฐ บุหรี่หนีภาษี เป็นเรื่องที่มีมาตรการอื่นๆ มาจัดการได้
แต่เรื่องสุขภาพไม่สามารถมีอะไรมาทดแทนได้ โดยสถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น ระหว่างปี 2550-2560 จำนวนครั้งที่นอนโรงพยาบาลด้วยโรคที่เกิดจากบุหรี่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 70 และมักเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง
เฉพาะกองทุนบัตรทอง ปี 2560 ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากบุหรี่ที่ต้องนอนโรงพยาบาลสูงถึงกว่า 21,000 ล้านบาท
และหากคำนวณค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในทุกกองทุนการรักษาพยาบาล ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ค่าความสูญเสียเนื่องจากการเสียรายได้หากต้องขาดงานเมื่อเจ็บป่วย และค่าความสูญเสียเนื่องจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
มูลค่าความสูญเสียทางสุขภาพจากบุหรี่จะมีมากถึงกว่า 200,000 ล้านบาทในแต่ละปี ซึ่งสูงกว่ารายได้จากภาษียาสูบที่รัฐจัดเก็บถึงกว่า 3 เท่า
ก่อนปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีการปรับขึ้นภาษียาสูบอัตราเดียวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาบุหรี่แพงขึ้น นอกจากรายได้ของรัฐจะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลกระทบด้านสุขภาพได้จริง
โดยพบว่า อัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากโรคหัวใจขาดเลือดลดลงร้อยละ 4.7 ทุกๆ ราคาบุหรี่ที่เพิ่มขึ้น 10 บาท ในกลุ่มอายุต่ำกว่า 45 ปีซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ควรเป็นโรคหัวใจ ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทยที่สูบบุหรี่
ข้ออ้างที่ว่าหากปรับอัตราภาษีสูงมากเกินไปจะทำให้บุหรี่หนีภาษีเพิ่ม เป็นข้ออ้างที่ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลกไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ ต้องเพิ่มความพร้อมในการบังคับใช้กฎหมาย การปราบปรามคอร์รัปชัน และการร่วมลงสัตยาบันในพิธีสารขจัดการค้ายาสูบผิดกฎหมาย อนุสัญญาควบยาสูบ ขององค์การอนามัยโลก
ศาสตราจารย์ ดร. อิศรา ศานติศาสน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลกด้านภาษียาสูบให้ข้อมูลว่า
การปรับขึ้นภาษีอัตราตามมูลค่าร้อยละ 25 อัตราตามมูลค่าร้อยละ 42 และอัตราตามปริมาณ 40 บาท/ซอง พบว่า
ทางเลือกที่ 1 ตามมูลค่าอัตราเดียวร้อยละ 25 ของราคาขาย+อัตราตามมูลค่า 25 บาท/ซอง เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด ราคาขายเฉลี่ยจะลดลงเป็น 64.94 บาท/ซอง รายรับภาษี 55,599.62 ล้านบาท (ลดลง 932.2 ล้านบาท) ยอดขาย 1,342.66 ล้านซอง (เพิ่มขึ้น 9.3 ล้านซอง)
ทางเลือกที่ 2 อัตราตามมูลค่าอัตราเดียว 42% ของราคาขาย+อัตราตามปริมาณคงเดิมที่ 25 บาท/ซอง ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 84.07 บาท/ซอง โดยมีรายรับภาษี 70,343.27 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13,811.45 ล้านบาท) และมียอดขาย 1,091.42 ล้านซอง (ลดลง 241.94 ล้านซอง)
ทางเลือกที่ 3 อัตราตามปริมาณ 40 บาท/ซอง+อัตราตามมูลค่าคงเดิมที่ร้อยละ 42 และร้อยละ 25 ของราคาขายปลีก ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มเป็น 86.41 บาท/ซอง โดยมีรายรับภาษี 72,278.30 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15,746.48 ล้านบาท) และยอดขาย 1,064.63 ล้านซอง (ลดลง 268.73 ล้านซอง)
จะเห็นได้ว่า ทางเลือกการขึ้นอัตราภาษีเดียวร้อยละ 25 จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะจะยิ่งทำให้คนสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นแต่รายรับภาษีรัฐลดลง
รัฐบาลควรปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ซิกาแรตเป็นร้อยละ 40 จะเหมาะกว่าเพราะจะช่วยเพิ่มรายรับภาษี และลดจำนวนคนสูบบุหรี่ลง
ตั้งแต่มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบเป็น 2 อัตราในปี พ.ศ. 2560 รัฐเก็บภาษียาสูบได้ลดลงนับหมื่นล้านบาท โดยที่กรมสรรพสามิตไม่เคยแถลงข่าวใดๆ ถึงสาเหตุของความล้มเหลวในการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบเมื่อ 8 ปีที่แล้ว และไม่ได้มีความพยายามแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์
จึงควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยเน้นการลดผู้สูบบุหรี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด เนื่องจากภาระโรคจากการสูบบุหรี่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจ และสังคม.







