กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

วงเสวนา ถอดสาระสำคัญ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ระบุกฎหมายใหม่เพิ่มโทษหนักขายให้เด็ก และคนเมา  เปิดช่องสื่อสารโฆษณาภายใต้หลักเกณฑ์  ตู้ขายอัตโนมัติทำได้แต่ยากเงื่อนไขเพียบ

วันนี้ (15 สิงหาคม 2568) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิชีววิถี  จัดเสวนาหัวข้อ “ถอดบทเรียน แก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จากแตกต่างสุดขั้วสู่จุดร่วม สร้างสมดุล”

นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสินค้าที่มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 500,000 ล้านบาท ต่อปีรัฐบาลจัดเก็บภาษีได้กว่า 150,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยจำนวนใบอนุญาตจำหน่ายที่มากกว่า 560,000 ราย จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนสำคัญทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม มีผู้คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่ธุรกิจนี้

อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งซึ่งต้องยอมรับเช่นเดียวกัน ในมิติผลกระทบที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยร่วมทำให้เกิดขึ้น ทั้งปัญหาสุขภาพประชาชน อุบัติเหตุความรุนแรงในครอบครัว การทะเลาะวิวาท และอาชญากรรม มีการประเมินผลกระทบที่เกี่ยวข้องจากผลกระทบดังกล่าวไว้สูงกว่า 170,000 ล้านบาทต่อปี การหาจุดสมดุลของเรื่องนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ร่าง พ.ร.บ.แอลกอฮอล์(ใหม่) ยกระดับอุตสาหกรรมสุรา เพิ่มศักยภาพจีดีพีไทย

ปลดล็อก "คุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์" อย่าอ้างเศรษฐกิจเปิดเสรี

ทุกฝ่ายงัดข้อมูลถกละเอียด เปิดใจรับฟังจนตกผลึก

นายวิสาร กล่าวต่อว่า พ.ร.บ.ฉบับเดิมใช้มากว่า 17 ปี มีทั้งประสิทธิภาพ และปัญหาในเวลาเดียวกัน จึงต้องยกร่างใหม่ ซึ่งผ่านการพิจารณาของ สส.และ สว.แล้ว ยอมรับว่า ในการพิจารณาในแต่ละขั้นตอนมีความท้าทาย และยากเพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดของตัวเอง และมีข้อมูลข้อเท็จจริงมาพิจารณาร่วมกัน มีการได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ไปศึกษาดูงานในหลายพื้นที่ทั้งใน และต่างประเทศ รวมถึงประเทศจีน ที่มีการผลิต จำหน่ายสุรา แต่มีมาตรการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง เด็ดขาด

อีกทั้งยังไปเยี่ยมผู้ป่วยจากการดื่มที่สถาบันธัญญารักษ์ รับฟังผู้ผลิตไวน์ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมาย ทำให้แต่ละฝ่ายเริ่มเข้าใจกัน และมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นำมาสู่การแสวงหาจุดร่วม ทำให้ในช่วงท้ายๆ ของการพิจารณากฎหมายเป็นไปอย่างราบรื่น

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

กระบวนการทำงาน 'ร่างพ.ร.บ.ควบคุมแอลกอฮอล์(ใหม่)'

ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2567 สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่... พ.ศ. ... จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1.ร่างที่ภาคีป้องกัน และลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ภปค.) ที่นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 92,978 คน เป็นผู้เสนอ 2. ร่างที่นายเจริญ เจริญชัย กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 10,942 คน เป็นผู้เสนอ 3.ร่างพรรคก้าวไกล ที่นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับคณะเป็นผู้เสนอ 4. ร่างพรรคเพื่อไทย ที่นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับคณะเป็นผู้เสนอ และ 5. ร่างรัฐบาล ที่คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้เสนอ (ที่ประชุมกำหนดให้เป็นร่างหลัก)

รวมถึงมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ จำนวน 42 คน ที่มาจากทุกภาคส่วนโดยมี ตนเองได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เริ่มประชุมนัดแรกเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 และมีการประชุมอย่างต่อเนื่องจำนวนรวม 52 ครั้ง และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบในวาระ 2 และวาระ 3 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2568 ใช้เวลาเกือบ 1 ปีเต็ม

จากนั้นวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2568 ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติรับหลักการ ต่อร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่..) พ.ศ. ... ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 27 คน โดยมีนพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และได้มีการประชุมจำนวน 10 ครั้ง และที่ประชุมวุฒิสภามีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

กฎหมายใหม่เพิ่มโทษหนักขายให้เด็ก และคนเมา

นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เช่น ในคณะกรรมการควบคุม ก็เพิ่มสัดส่วนผู้แทนกระทรวงต่างๆ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจเข้าไปร่วมด้วย แต่ก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งหากพิจารณาในเรื่องที่ผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องออกจากที่ประชุม โดยชุดนี้จะมีอำนาจในการออกกฎหมาย

นอกจากนี้ยังมีการผ่องถ่ายอำนาจบางอย่างไปให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด และ กทม.เป็นผู้ดำเนินการ พร้อมให้ผู้แทนสภาเด็ก และเยาวชน เข้าไปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ต้องมีการจัดประชุมอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง

นพ.นิพนธ์  กล่าวต่อว่า ในด้านการควบคุม แม้จะมีการยกเลิก ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ที่กำหนดเรื่องช่วงเวลาห้ามจำหน่ายตั้งแต่ 11.00 - 14.00 น. และ 17.00 - 24.00 น. แล้วแต่ยังคงมีอนุบัญญัติเดิมที่กำหนดเวลาขายไว้ซึ่งขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการ

ส่วนข้อถกเถียงเรื่องการขายผ่านตู้อัตโนมัตินั้น ตู้ต้องสามารถยืนยันตัวตนของผู้ซื้อได้ บอกอาการของผู้ซื้อได้ ซึ่งในอนาคตระบบ AI อาจจะทำได้ แต่การวางตู้ต้องไม่ตั้งในสถานที่ห้าม เช่น วัด โรงเรียน สถานที่ราชการ สถานพยาบาล  ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น และต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ว่ามาทำหน้าที่แทนร้านค้าหรือเป็นเพียงอุปกรณ์ในร้านค้าเท่านั้น เรื่องนี้ยังต้องคุยในรายละเอียด และออกข้อกำหนดอีกครั้ง

“กฎหมายเพิ่มโทษหนักผู้ที่ขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และขายให้คนเมา ซึ่งต้องมีหลักเกณฑ์กำหนดในรายละเอียด ถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ  โทษปรับนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิมห้าเท่าเป็น 100,000 บาท  แล้วถ้าผู้ซื้อคนนั้นไปก่อเหตุ ต่อเนื่องจากการดื่ม  ทางร้านก็จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายด้วย เมื่อมีโทษหนัก และรับผิดชอบร่วม กฎหมายจึงให้สิทธิเรียกตรวจบัตรประชาชนผู้ซื้อได้ด้วย  ในส่วนของการห้ามโฆษณานั้นหลักใหญ่ยังคงห้ามอยู่แต่กฎหมายเปิดช่องให้สามารถสื่อสารได้บางส่วน ซึ่งต้องมีกฎหมายลูกออกรายละเอียดตามมา การใช้ตราเสมือนมาเลี่ยงโฆษณาแบบในอดีตจนทำให้คนเข้าใจว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำไม่ได้ เป็นต้น ตอนนี้กฎหมายผ่านวุฒิสภาแล้ว ก็รอทูลเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธย และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่ง กฎหมายจะมีผลบังคับใช้หลัง 60 วันหลัง ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา” นพ.นิพนธ์ กล่าว  

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

กฎหมายชัดเจนมากขึ้น คุ้มครองประชาชน

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตกร กรรมาธิการฯ ผู้เสนอกฎหมายพรรคประชาชน กล่าวว่า เนื่องจาก พ.ร.บ.มีหลายร่าง และแตกต่างกัน การพิจารณาจึงค่อนข้างยาก แต่ด้วยการพูดคุยผ่านกลไกรัฐสภาจนสุดท้ายแล้วความเห็นที่แตกต่างกันก็มีประโยชน์ ที่ทำให้เกิดการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมายที่มีความกลมกล่อม ซึ่งรวมไปถึงภาพรวมของสังคม คือ เกิดความเข้าใจกันของฝ่ายนักรณรงค์ และฝ่ายผู้ประกอบการ นี่คือ ความสวยงามของระบบประชาธิปไตยผ่านรัฐสภา

สาระหลักของกฎหมายไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เราอยากได้ไปทั้งหมด หลักๆ กฎหมายมีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการคุ้มครองประชาชน  เช่น การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย เดิมคนโพสต์ถูกปรับหมด ก็มีการแก้ไขว่า หากการโพสต์ผ่านสื่อออนไลน์ไม่ได้มีเจตนาโฆษณาหรือเป็น influencer ก็ไม่มีความผิด แต่ที่เราอยากเห็นคือ การห้ามโฆษณาให้คนอายุต่ำกว่า 20 ปี  ส่วนคนเกิน 20 ปี สามารถรับรู้การโฆษณาได้ ประเด็นนี้ต้องว่ากันต่อไปในอนาคต เป็นต้น

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

การให้ประชาชนเสนอกฎหมายช่วยถ่วงดุล

ด้าน ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย กรรมาธิการฯ นักวิชาการผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ฯ กล่าวว่า ภายหลังมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน  จนตกผลึกในร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่แล้ว ในเร็วๆ นี้ จะมีการจัดเสวนา เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจสาระสำคัญของ พ.ร.บ. เป็นการเตรียมตัวให้กับผู้ประกอบการ สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีโดยไม่ต้องรออนุบัญญัติ เช่น การติดป้ายเตือนไม่ขายให้กับเยาวชน และผู้มีอาการมึนเมา เป็นต้น

ส่วนตัวมองว่าอย่างน้อยกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ประชาชนทั่วไป และนักวิชาการ สามารถแบ่งปันประสบการณ์ ข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยไม่ต้องกลัวจะถูกดำเนินคดีหรือเสียค่าปรับจำนวนมาก เหมือนในอดีต เช่น ในช่วงโควิด 
ปี 2563 ประชาชน และผู้ประกอบการจำนวนมาก ถูกเรียกไปสอบสวนเรื่องการโพสต์ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อออนไลน์ ส่วนใหญ่ยอมจ่ายค่าปรับ บางร้านมีเพียงภาพแก้วเบียร์บนเมนูก็ถูกดำเนินคดีในชั้นศาล ต้องเสียค่าปรับ และสูญเสียรายได้กว่าล้านบาทในช่วงต่อสู้คดี นอกจากนี้เมื่อทราบว่ามีส่วนแบ่งจากค่าปรับ เป็นเงินสินบนรางวัล ให้กับเจ้าหน้าที่ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการล่าเงินรางวัล ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากขึ้น

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

ปรับตัวทุกฝ่ายให้สอดรับกับกฎหมายใหม่

ขณะที่ นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และกรรมาธิการฯ กล่าวว่า 
ภาคประชาสังคมผลักดันให้มีการออกกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย กลางปี 2548 ก่อนจะสำเร็จ และบังคับใช้ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์  จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 และออกกฎหมายลูกหลายฉบับตามมา อาทิ การห้ามขาย ห้ามดื่มบนรถไฟ และสถานีรถไฟ การห้ามดื่มบนรถขณะอยู่บนทาง มาจนถึงการห้ามขายทางออนไลน์  ซึ่งเป็นฉบับที่มีเสียงคัดค้านหนัก ประกอบกับในช่วงโควิด ผู้ประกอบการรายย่อย และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ถูกดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 32 ว่าด้วยการห้ามโฆษณาจำนวนมาก จึงมีนำมาซึ่งการเสนอแก้ไขกฎหมายของผู้ประกอบการ และผลักดันจนเข้าสภา และมีร่างของภาคประชาสังคม พรรคการเมือง กระทรวงสาธารณสุข ตามมารวมเป็น 5 ฉบับ  

นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในช่วง กรรมาธิการ ของ สส. ต้องยอมรับว่าประธาน กมธ. มีส่วนสำคัญมาก ที่กล้าปักธงว่าจะให้มีการพูดคุยกันอย่างเต็มที่ และจะพยายามไม่ให้มีการโหวต  ซึ่งก็ทำได้จริง แม้ในช่วงแรกๆ จะปะทะกันทางความคิดหนักมาก อยู่ในช่วงของความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ แต่ด้วยกระบวนการที่ถูกวางให้ทำงานร่วมกัน ไปลงพื้นที่ดูผู้ป่วยที่ติดเหล้า ไปดูความยากลำบากของผู้ประกอบการรายย่อย ไปดูงานในหลายๆ ที่  

การได้ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน  คิดว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายเปิดใจ ลดราวาศอก เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น และค่อยๆ ค้นหาจุดร่วมที่ยอมรับกันได้ อีกทั้งการไม่เร่งรีบจนเกินไปทำให้มีเวลาในการทำงานเต็มที่  หลังจากนี้ก็คาดหวังว่าจะเกิดการปรับตัวกันทุกฝ่าย  ให้สอดรับกับกฎหมายใหม่ แต่กระบวนการออกกฎหมายลูกก็มีส่วนสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป

 

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ ปกป้องสังคมปลอดภัย

รศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
ในฐานะผู้ดำเนินการอภิปราย กล่าวในตอนท้ายว่า จากการรับฟังที่มา และกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เห็นได้ชัดว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้กฎหมายเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย คือ บทบาทของรัฐสภาในฐานะเวทีแก้ไขปัญหาสำคัญของสังคม โดยเฉพาะในชั้นคณะกรรมาธิการ ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีมุมมองต่อการผลิต การบริโภคสุรา และมิติสุขภาพ และสังคมที่แตกต่างกัน ได้ถกเถียง แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนได้ข้อสรุปที่ทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย คุ้มครองผู้บริโภค และปกป้องความปลอดภัยของสังคม

"กระบวนการนี้สะท้อนสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (deliberative democracy) ซึ่งทำให้ประชาธิปไตยแบบตัวแทนแข็งแรงขึ้น เพราะไม่ได้มีแค่การโหวต แต่คือ การฟังกันอย่างตั้งใจ และหาทางออกร่วมกัน วันนี้เราได้เห็นแล้วว่า การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. นี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปรับกฎหมาย แต่เป็นบทพิสูจน์ว่า รัฐสภาสามารถเป็นเวทีที่คนเห็นต่างมานั่งพูดคุย แลกเปลี่ยนซึ่งกัน และกัน และหาทางออกร่วมกันได้  
ผมเชื่อว่า ถ้าเรานำวิธีคิด และวิธีทำงานแบบนี้ไปใช้กับปัญหาอื่นๆ ในสังคม เราจะสามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องแบ่งข้าง และไม่ต้องปิดกั้นความเห็นที่แตกต่าง และรัฐสภาจะยังคงเป็นเวทีของทุกคน เป็นพื้นที่ที่เราสามารถสร้างอนาคตร่วมกันได้ และการให้มีร่าง พ.ร.บ. ที่มาจากประชาชนพิจารณาไปด้วยจึงสร้างสมดุลได้ดี” บุญเลิศ กล่าวทิ้งท้าย

กฎหมายใหม่ 'ควบคุมแอลกอฮอล์' วางโทษหนักขายเด็ก-คนเมา

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์