ถอดบทเรียนจากนานาชาติ ลดความรุนแรงในเมือง | หน้าต่างความคิด

ถอดบทเรียนจากนานาชาติ ลดความรุนแรงในเมือง | หน้าต่างความคิด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่ทวีจำนวนขึ้นทั่วทุกจังหวัด ทั้งในกลุ่มเยาวชนและผู้ใหญ่ หากมีสถานที่ใดที่แสดงให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์สามารถพลิกกระแสความรุนแรงได้

นั่นคือ “สกอตแลนด์” เมื่อสองทศวรรษก่อน กลาสโกว์ถูกขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอาชญากรรมด้วยมีด” ของยุโรป แต่ปัจจุบันมีสถิติการฆาตกรรมและการทำร้ายร่างกายลดลงอย่างมาก หลังจากนำแนวทางสาธารณสุขมาใช้กับปัญหาความรุนแรง

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเพิ่มงบประมาณตำรวจหรือการลงโทษที่หนักขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรง

จากการมองว่าเป็นเรื่องของอาชญากรรมที่ต้องปราบปราม มาเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ต้องป้องกันและรักษาที่ต้นเหตุ แนวคิดนี้นำไปสู่การปฏิรูปครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสกอตแลนด์ไปตลอดกาล

ในปี 2548 ตำรวจสกอตแลนด์จัดตั้งหน่วยลดความรุนแรง (Violence Reduction Unit หรือ VRU) ซึ่งมองความรุนแรงเป็นเหมือน “โรค” ที่สามารถป้องกันได้ โดยระบุปัจจัยเสี่ยงตั้งแต่เนิ่นๆ ขัดขวางวงจรของอันตราย และสนับสนุนการฟื้นฟู

ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ และนายจ้าง ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้น

ผลลัพธ์น่าทึ่ง คือ อาชญากรรมความรุนแรงที่ไม่เกี่ยวกับเพศลดลงครึ่งหนึ่งระหว่างปี 2547/48 ถึง 2560/61 และการฆาตกรรมลดลงจาก 137 คดีเหลือ 59 คดีในช่วงเวลาเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการดำเนินการหลายเรื่องพร้อมกัน เช่น Mentors in Violence Prevention และ No Knives, Better Lives เป็นต้น ซึ่งเป็นการช่วยให้นักเรียนมีทัศนคติที่เหมาะสมต่อแนวทางในการลดความขัดแย้ง และหาทางออกแทนการพกอาวุธ

สกอตแลนด์ยังยืมแนวคิด “focused deterrence” จาก Operation Ceasefire ของบอสตัน โดยผสมผสานการลงโทษที่ชัดเจนกับข้อเสนอความช่วยเหลือแบบมุ่งเป้า เช่น การฝึกอบรม งาน ที่พักอาศัย และการให้คำปรึกษา

“โมเดลคาร์ดิฟฟ์” เป็นอีกนวัตกรรมสำคัญ โดยผสมผสานข้อมูลการบาดเจ็บจากแผนกฉุกเฉินกับรายงานตำรวจ ทำให้ระบุจุดอันตรายที่ข้อมูลตำรวจเพียงอย่างเดียวมองไม่เห็น

การตอบสนองแบบประสานงาน อาทิ ปรับแสงสว่าง เวลาออกใบอนุญาต และรูปแบบการลาดตระเวน ช่วยลดการเข้ารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินและประหยัดค่าใช้จ่ายหลายล้านปอนด์

VRU ยังร่วมมือกับนายจ้างสร้างโอกาสในการทำงานให้เยาวชนกลุ่มเสี่ยง ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูทางจิตใจ การบำบัดยาเสพติด และแก้ไขปัจจัยกดดันในครอบครัว โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โอกาส และสภาพแวดล้อมไปพร้อมกัน ทำให้สถิติความรุนแรงลดลงประมาณ 48% ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2000

ความสำเร็จของสกอตแลนด์สอดคล้องกับตัวอย่างนานาชาติอื่นๆ คาร์ดิฟฟ์ในเวลส์ใช้ความร่วมมือเฝ้าระวังการบาดเจ็บเพื่อลดความรุนแรงรอบย่านสถานบันเทิง บอสตันประสบความสำเร็จกับ Operation Ceasefire ที่ทำให้การฆาตกรรมเยาวชนลดลงอย่างรวดเร็วในปลายทศวรรษ 1990

ส่วนเมเดยีนในโคลอมเบีย แม้มีบริบทต่างกัน แต่แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการชุมชนผ่านการขนส่ง พื้นที่สาธารณะ และบริการต่างๆ สามารถลดอัตราการฆาตกรรมได้อย่างมาก เมื่อกระเช้าลอยฟ้า ห้องสมุด และโปรแกรมทางสังคมเชื่อมโยงเมืองเข้าด้วยกัน

ประเทศไทยสามารถปรับใช้แนวทางเหล่านี้ได้ โดยเริ่มจากการนำกรอบแนวคิดด้านสุขภาวะมาใช้ กำหนดแผนป้องกันความรุนแรงมองความรุนแรงเหมือนโรค มีการทำแผนที่ปัจจัยเสี่ยง คัดกรองเบื้องต้นในโรงเรียน และตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้นำร่วมกับตำรวจและการศึกษา

ในระยะเริ่มต้น อาจทดลองใช้โมเดลคาร์ดิฟฟ์ในย่านเสี่ยงของกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ และพัทยา โดยให้แผนกฉุกเฉิน ตำรวจ และหน่วยงานท้องถิ่นแบ่งปันข้อมูลอย่างเป็นทางการ ใช้ข้อมูลรวมเพื่อปรับปรุงจุดอันตราย เช่น ชั่วโมงออกใบอนุญาต แสงสว่าง และการลาดตระเวนที่มีเป้าหมาย

ในจังหวัดที่มีปัญหาแก๊ง ควรจัด “call-ins” แบบ pulling levers ที่มีการลงโทษชัดเจนสำหรับการกระทำรุนแรง พร้อมข้อเสนอที่เป็นจริง เช่น การฝึกอาชีพเร่งด่วน การฝึกงานกับรัฐวิสาหกิจ การบำบัดยาเสพติด และที่พักปลอดภัย วัดผลทุกเดือนแทนที่จะเป็นทุกปี

การขยายโปรแกรมป้องกันในโรงเรียนเป็นสิ่งจำเป็น ปรับหลักสูตรแก้ไขความขัดแย้งให้เหมาะกับห้องเรียนไทย จับคู่กับกีฬา ศิลปะ และกิจกรรมชุมชนหลังเลิกเรียน ผูกการเข้าเรียนกับการเข้าถึงทุนการศึกษาและการฝึกงาน

นอกจากนี้ ต้องได้รับคำมั่นจ้างงานจากรัฐวิสาหกิจและบริษัทใหญ่สำหรับเยาวชนกลุ่มเสี่ยง พร้อมการให้คำปรึกษาและเงินอุดหนุนค่าจ้าง 6-12 เดือน

การออกแบบเมืองก็มีบทบาทสำคัญ สร้างตรอกที่ปลอดภัย จุดขนส่งที่สว่าง ศูนย์ชุมชนใกล้จุดปัญหา และการเดินทางที่เชื่อถือได้ในเวลาปิด ติดตามแนวโน้มการทำร้ายร่างกายก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้ง

แม้ว่าจะไม่มีวิธีการเดียวที่แก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่เมืองต่างๆ ตั้งแต่กลาสโกว์ คาร์ดิฟฟ์ บอสตัน ถึงเมเดยีน แสดงให้เห็นว่าความรุนแรงสามารถลดลงได้เมื่อการใช้ข้อมูล การออกแบบ การยับยั้ง และศักดิ์ศรีถูกขับเคลื่อนไปด้วยกันอย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยควรเริ่มจากโครงการนำร่องในบางเมือง เผยแพร่ข้อมูล เรียนรู้ต่อสาธารณะ และขยายผลสิ่งที่ได้ผล ท่ามกลางความวิตกกังวลในปัจจุบัน นั่นจะเป็นคำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับสังคมไทย