ดร.นิทัศน์ เก็บมาเล่า เวทีโลกประชุมการควบคุมยาสูบที่ไอร์แลนด์

การประชุมวิชาการการควบคุมยาสูบระดับโลก ประเด็นบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนิโคติน มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง
การประชุมวิชาการการควบคุมยาสูบระดับโลก (World Conference on Tobacco Control 2025) ระหว่างวันที่ 23-25 มิ.ย.2568 ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
มีข้อมูลจากการวิจัยและการขับเคลื่อนนโยบายการควบคุมยาสูบในประเทศต่างๆ รวมทั้งในระดับองค์การสหประชาชาติ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากมาย
ทั้งนี้ เป็นการประชุมระดับโลกครั้งแรกของการควบคุมยาสูบ นับตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้วที่กรุงเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ และปีนี้ครบรอบ 20 ปีของการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ องค์การอนามัยโลก
การประชุมครั้งนี้ มีนักวิชาการด้านกฎหมาย ทนายความ แพทย์ นักวิจัย ฯลฯ มานำเสนอความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในการควบคุมยาสูบ เข้าร่วมประชุม 1,300 คน
ประเด็นบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนิโคติน เช่น ถุงนิโคติน (nicotine pouches) รวมถึงสารสังเคราะห์ เมทาทีน (Metatine) มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง
กลุ่มพันธมิตรโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs Alliance) ได้นำเสนอว่ามีการขับเคลื่อนในการประชุมระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ เพื่อจัดการกับปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสุขภาพจิต โดยจะประชุมระดับสูงครั้งที่ 4 ในเดือน ก.ย.ปีนี้
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์คือการส่งเสริมสุขภาพ การปกป้องสิทธิและการช่วยชีวิตจากสาเหตุต่างๆ ของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสุขภาพจิต ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีสารนิโคติน เป็นหนึ่งในต้นเหตุสำคัญ
ในระหว่างการประชุมครั้งนี้ ทนายความจากกรุงนิวยอร์กนำเสนอประเด็นของความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและภาคีเครือข่ายด้านการควบคุมยาสูบ
เนื่องจากการสำรวจระดับโลกบ่งชี้ว่า เด็กและเยาวชนทั่วโลกอายุระหว่าง 16-25 ปี ประมาณ 70% ต่างวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรู้สึกว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆ ยังไม่มีความจริงใจในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
เครือข่ายพันธมิตรเพื่อยุติมลพิษจากยาสูบ เป็นการรวมตัวขององค์กรด้านสาธารณสุขทั่วโลกในการขับเคลื่อนการบูรณาการระหว่างการควบคุมยาสูบและสุขภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อลดขยะพลาสติกจากผลิตภัณฑ์ยาสูบ
ทั้งยังเรียกร้องให้บริษัทยาสูบจ่ายค่าเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากก้นกรองในบุหรี่มวน คือสาร Cellulose acetate ซึ่งจะสลายกลายเป็นพลาสติกขนาดจิ๋ว (micro plastic) และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษย์และสัตว์
ก้นกรองบุหรี่ไม่สามารถลดอันตรายจากการสูบบุหรี่ และเป็นขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่ง มีปริมาณสูงถึง 4.5 ล้านล้านชิ้นต่อปี ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก
มณฑลซานตา ครู๊ซ (Santa Cruz County) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ เป็นแห่งแรกที่ออกร่างกฎหมายห้ามขายบุหรี่ก้นกรอง เมื่อเดือน พ.ย.2567 เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม
ในขณะที่สองเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย คือ เบเวอร์ลี่ ฮิลล์ส และ แมนฮัตตัน บีช ต่างออกกฎหมายห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
ในประเด็นดังกล่าว ผู้เขียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับทนายความขององค์กร Action on Smoking and Health (ASH-USA) และได้รับทราบว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศของสหภาพยุโรป เช่น เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ต่างร่างกฎหมายเพื่อควบคุมขยะพลาสติกจากก้นกรองบุหรี่
และสอดคล้องกับการเจรจาร่างสนธิสัญญาควบคุมขยะพลาสติก องค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีการประชุมครั้งล่าสุดที่กรุงปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-1 ธ.ค.2567
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กขององค์การสหประชาชาติ และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งเด็กและเยาวชนจะต้องได้รับการปกป้องจากสารเสพติด เช่น นิโคติน เป็นประเด็นสำคัญของรัฐบาลไทย เนื่องจากเด็กและเยาวชนคืออนาคตและความมั่นคงของชาติ
แต่เด็กและเยาวชนทั่วโลกต่างถูกละเมิดสิทธิโดยบริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวารด้วย “การตลาดล่าเหยื่อ” จากผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งไม่เคยสูบบุหรี่มวนมาก่อน
เจตนาที่ชัดเจนของบริษัทผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และเครือข่ายบริวาร คือต้องการให้เด็กและเยาวชนเป็นทาสของ “นิโคติน”
ในสภาผู้แทนราษฎร กลุ่มเครือข่ายบริษัทยาสูบข้ามชาติในคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อ้างว่า หากทำให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมาย จะควบคุมการเข้าถึงโดยเด็กและเยาวชนได้ดีกว่าการห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่ายนั้น เป็นการโกหก หลอกลวง และบิดเบือนข้อเท็จจริง
เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์จากสถิติบ่งชี้ว่า กลุ่มประเทศที่ห้ามนำเข้า ห้ามขายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ปกป้องเด็กและเยาวชนได้ดีกว่า โดยมีการแพร่ระบาดน้อยกว่าในกลุ่มประเทศที่บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมาย 0.6 เท่า
การที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จิราพร สินธุไพร พร้อมด้วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ณรงค์ พูลพิพัฒน์ เข้าพบผู้อำนวยการใหญ่แห่งองค์การอนามัยโลก เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2568 เพื่อหารือการแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตรายต่อเด็กและเยาวชน
นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่บริษัทยาสูบและเครือข่ายบริวารมักจะใช้ “วาทกรรม” ในการเบี่ยงเบน และบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์
องค์การอนามัยโลก จึงเน้นย้ำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มผลประโยชน์ ด้วยการดำเนินการตามมาตรา 5.3 กรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร
บริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวาร ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ในการมีชีวิตที่ปลอดภัยและสุขภาพที่ดี การโกหก หลอกลวง และโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้เกิดโรคไร้เชื้อเรื้อรัง และ “นิโคติน” เป็นหนึ่งในสี่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ
ด้วยเหตุนี้ บริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวาร ผู้เผยแพร่และสนับสนุน “สินค้าแห่งความตาย” ต้องไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในการเป็นผู้กำหนดนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ.







