ทำอย่างไร ใจของเราจึงจะพ้นทุกข์ได้เสมอ | ปกรณ์ วิชยานนท์

สาเหตุหนึ่งที่ผู้เขียนเลือกหัวข้อนี้ขึ้นมาเขียน ก็เพราะในปี 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาบริหารอเมริกา ทั้งนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจได้ผันผวนแปรปรวนจนคาดไม่ถึง
บ่อยครั้งทำให้สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแทบทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ในหลายรูปแบบแก่ทั้งผู้บริหารประเทศคู่ค้าและประชาชนทั่วไป
ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาถึงต้นตอและวิวัฒนาการของ "ความทุกข์" ในมุมมองที่กว้าง ๆ ก่อนดีกว่า เพื่อจะได้สามารถทำใจให้พ้นทุกข์ได้เสมอ
ใจของคนเราทั่ว ๆ ไปมักจะประสบความทุกข์ใหญ่ ๆ อยู่ 3 ประเภทได้แก่
(1) ไม่ทันต่อเวลา
(2) ไม่ได้สิ่งที่ต้องการหรืออยากได้
(3) สิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ตรงกับสิ่งที่เราเชื่อหรือยึดมั่นเอาไว้ก่อนหน้านั้น
ต้นตอความทุกข์ทั้ง 3 ประเภทนี้คือ "เวลา" เวลาคือสิ่งที่เดินหน้าต่อเนื่องไปอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเป็น ตัวแปรที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่ทุก ๆ อย่างรอบตัวเราได้ กล่าวในอีกรูปแบบหนึ่งคือ การเคลื่อนไหวของเวลาสามารถสร้างความไม่แน่นอนขึ้นได้อยู่เสมอ
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่บุคคลใดที่ยังมีความอยาก ความยึดมั่น และความไม่ทันต่อเวลา มักจะประสบความทุกข์ได้ง่ายกว่าผู้อื่น เพราะ"เวลา" สามารถนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนได้ตลอดเวลาและ/หรือไม่ตรงตามที่คาด
เมื่อเราเข้าใจถึงแกนหลักของความเป็นทุกข์แล้วว่าอยู่ที่ "เวลา" ซึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง และสามารถก่อความไม่แน่นอนได้ทุกเมื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลสุดท้ายของ "เวลา" ที่เคลื่อนตัวอยู่เสมอนั้นอาจก่อให้เกิดความทุกข์(หรือความสุข)ได้
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคาดหรือหวังอะไรไว้ก่อนหน้าหรือไม่ (หรือว่าไม่ได้คาด/หวังเอาไว้เลย)
เมื่อเราเห็นถึงวิวัฒนาการของความทุกข์แล้ว คงไม่ยากที่จะเข้าใจถึง 4 ช่องทางที่จะกล่าวต่อไปนี้ ซึ่งจะช่วยให้ใจของเราพ้นทุกข์ได้เสมอ
1. กำหนดจิตใจของเราให้ "ทันปัจจุบัน" อยู่ตลอดเวลา การกำหนดนี้จะช่วยสร้างนิสัยให้เรามีสติและรู้ตัวอยู่เสมอว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
2. "คิดล่วงหน้า" หรือตามภาษาชาวบ้านที่ ร. 9 ท่านได้สอนเราไว้ว่า "คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ" ช่องทางนี้มีจุดประสงค์ที่จะเพิ่มความรอบคอบให้แก่ตัวเราก่อนที่จะพูดหรือทำอะไรลงไป และไม่ควรนำไปตีความหมายอย่างผิดพลาดเช่น คิดเก็งกำไร หรือวางแผนทุจริตล่วงหน้า
3. "ลดความอยากและความยึดมั่น" ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความอยากและความยึดมั่น ที่กล่าวในที่นี้ครอบคลุมหลายแง่มุมมากเช่น ความอยากในทรัพย์สมบัติหรือในความสำเร็จของธุรกิจ ความยึดมั่นในความคิดเห็นที่ตนมีอยู่หรือในประสบการณ์ของตนหรือบุคคลที่ตนเคารพ
4. รู้จัก "ปรับตัวให้ยืดหยุ่นหรืออะลุ่มอล่วย" เพราะผู้คนในโลกส่วนใหญ่มีนิสัยใจคอและความชอบ/ไม่ชอบที่ไม่เหมือนกัน โดยแต่ละคนก็มีแนวโน้มที่จะเข้าข้างตัวเองมากกว่าผู้อื่น ดังนั้น ความยืดหยุ่นหรืออะลุ่มอล่วยจะช่วยให้การเข้าอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นไปได้ราบรื่นมากขึ้น
อีกเหตุผลหนึ่งของการปรับตัวเช่นนั้นคือ เนื่องจาก "เวลา" ที่เคลื่อนตัวอยู่เสมอนั้นอาจทำให้ปัจจัยรอบตัวเรา (และความสำคัญของปัจจัยเหล่านั้น) เปลี่ยนแปลงไปได้เสมอเช่นกัน ดังนั้น เราจึงต้องรู้จักปรับตัวเราให้เข้ากับค่านิยมหรือ สิ่งใหม่ ๆ ได้มากที่สุด
สี่กลยุทธ์ที่เสนอข้างต้นจะช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติ (1) มีความรอบคอบและ (2) สามารถควบคุมตนเองได้อย่างเหมาะสมในทุกเวลาและสถานการณ์
ผลดีทั้ง 2 ประการนี้น่าจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีพฤติกรรมที่ดี พร้อม ๆ ไปกับสัมมาคารวะและกาลเทศะที่ถูกต้อง จึงจะสามารถต่อสู้กับความผันผวนในโลกนี้ได้ อย่างไร้ความทุกข์ในใจ
นอกจากนั้นยังจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถพัฒนามนุษยสัมพันธ์ที่ดีให้แก่ตนเองด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วในการประกอบวิชาชีพทุกสาขา เพราะเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า มนุษยสัมพันธ์ที่ดีนั้นเป็นคุณสมบัติที่สำคัญกว่าตัวแปรอื่น ๆ ทั้งปวงรวมถึงคุณวุฒิและปริญญาบัตรใด ๆ ทั้งสิ้น
โดยสรุป เนื่องจาก "เวลา" เป็นสิ่งที่เดินหน้าไปอยู่เสมอ จึงก่อให้เกิดความไม่แน่นอนและ ความทุกข์ตามมาได้ ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะต่อสู้กับความไม่แน่นอนและเลี่ยงความทุกข์เหล่านั้นได้สำเร็จ ก็ควรพิจารณาปฏิบัติตาม 4 ช่องทางที่เสนอข้างต้น
สี่ช่องทางนี้ตรงกับหลักการของศาสนาแทบทุกศาสนา ซึ่งสอนให้เราฝึกปฏิบัติธรรม (เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม) เพื่อช่วยสร้างสติให้รู้ตัวอยู่เสมอ แล้วเราถึงจะสามารถปฏิบัติตามศีล (หรือคำสอนที่ควรทำ) ได้ทันต่อเวลาและได้อย่างรอบคอบ ซึ่งจะช่วยให้ใจของเราสามารถพ้นทุกข์ได้เสมอ.







