เศรษฐศาสตร์ยาสูบ (ตอน 2) มาตรการบริหารจัดการบุหรี่ไฟฟ้าในไทย

สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) มาให้ข้อมูลนำเสนอข้อมูล “ผลการศึกษา มาตรการบริหารจัดการบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และข้อเสนอเชิงนโยบาย”
ประเด็นผลกระทบของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อเศรษฐกิจเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.)
ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง มาให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2566 และรองผู้อำนวยการ สวค. นำเสนอข้อมูล “ผลการศึกษา มาตรการบริหารจัดการบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และข้อเสนอเชิงนโยบาย”
ข้อมูลส่วนหนึ่งที่ สวค. นำเสนอคือมูลค่าเศรษฐกิจนอกระบบ หรือเศรษฐกิจใต้ดินในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง (ซึ่งเป็นวิทยากรในงานสัมมนาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568)
และข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีความแตกต่างกันถึง 10 เท่า จึงต้องพิจารณาว่าข้อมูลใดที่เชื่อถือได้
ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการสถาบันฯ สรุปในส่วนนี้ว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจใต้ดิน ไม่ต้องเสียภาษีให้กับภาครัฐ และทำให้ภาครัฐไม่สามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งควบคุมการบริโภคของผู้สูบบุหรี่ได้
ในการประชุมกรรมาธิการวิสามัญฯ กลุ่มที่สนับสนุนให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมาย มักจะอ้างว่ารัฐไม่สามารถเก็บภาษีได้ แต่หากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมาย ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีสินค้าผิดกฎหมายอีกต่อไป
ดังนั้น การทำให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมายไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดมืด
สังคมต้องพิจารณาว่า ไม่มีมาตรฐานและคุณภาพใดที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ปลอดภัยต่อสุขภาพ
เนื่องจากผู้ผลิตยอมรับต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาว่า ผลิตภัณฑ์ประเภทให้ความร้อนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีสารเสพติดคือ นิโคติน และยังไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดอันตรายจากโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่มวน
การห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่ผู้บริโภคได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ประเทศแคนาดายกเลิกการห้ามบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในปี พ.ศ. 2561 ส่งผลให้อัตราการแพร่ระบาดในกลุ่มเยาวชนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.6 เป็น 29.4
นิวซีแลนด์ปรับเปลี่ยนกฎหมายจากการห้ามอย่างสิ้นเชิง เป็นการควบคุมโดยกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2561 ส่งผลให้การแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.8 เป็น 9.6 ในปี พ.ศ. 2564
ข้อค้นพบของการศึกษาจาก สวค. นี้ บ่งชี้ว่า การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง และ บราซิล ต่างเคยประสบปัญหานี้เช่นกัน การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการอย่างเข้มงวดตามกฎหมาย
ส่งผลให้สถานการณ์การลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ผิดกฎหมายลดลง และการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนลดลงอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ สวค. คือ การทำให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมายจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดนักสูบหน้าใหม่
ซึ่งเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบจากงานวิจัยและหลักฐานเชิงประจักษ์และกรณีศึกษาจากต่างประเทศพบว่า ข้อสรุปนี้ของ สวค. ไม่น่าจะถูกต้อง
เพราะในประเทศสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างประสบปัญหาของการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยสูบบุหรี่มวนมาก่อน “เป็นความหายนะทางสาธารณสุข” ที่ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ และหน่วยงานต่างๆ ด้านสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมาย
ส่วนข้อเสนอแนะของ สวค. เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการดูแลจากภาครัฐนั้น ยังไม่เหมาะสมเพราะ สวค. ควรจะต้องเสนอแนะให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์จำหน่ายได้เฉพาะในร้านขายยาภายใต้ใบสั่งแพทย์ (prescription) เพื่อการรักษาเท่านั้น (ตามแนวทางของประเทศ ออสเตรเลีย) และผู้ใช้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อการเลิกสูบบุหรี่มวนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายว่า ผลิตภัณฑ์บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช่สิ่งที่ช่วยในการเลิกสูบบุหรี่มวนได้ สอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
ข้อเสนอแนะของ สวค. เกี่ยวกับการที่รัฐจะได้ภาษีเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางลบอื่นๆ ของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมาก
ผู้ที่มีประสบการณ์เป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ย่อมต้องทราบดีว่าความคุ้มค่า คุ้มทุน มีตัวแปรหลายอย่าง นอกจากภาระโรคที่เกิดจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าภาษีที่รัฐจะได้รับหลายเท่าแล้ว
ผลิตภัณฑ์ที่มี นิโคติน เช่น บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ ระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 มีการประชุมวิชาการของ สวรส. ซึ่งประเด็นการลงทุนด้านสุขภาพที่มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็นหัวข้อหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเฉพาะประเด็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า และเห็นชอบมาตรการต่างๆ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) เสนอ
ซึ่งการคงไว้มาตรการการห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและสอดคล้องกับธนาคารโลกและองค์การสหประชาชาติ ที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์ที่มี นิโคติน ก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคม
การบิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นกลยุทธ์ของบริษัทยาสูบข้ามชาติ ผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และเครือข่ายบริวาร ซึ่งมาตรการต่างๆ ที่ คสช. เสนอต่อ ครม. เป็นกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยการกลั่นกรองข้อมูลจากทุกภาคส่วน จึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่าผู้ที่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
คำขวัญของวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปี 2568 คือ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” (Unmasking the appeal: Exposing Industry Tactics on Tobacco and Nicotine Products) เพื่อเปิดโปงการโกหก หลอกลวงผู้บริโภคของบริษัทยาสูบข้ามชาติ และเครือข่ายบริวาร ให้สังคมได้รับทราบความจริงและพฤติกรรมองค์การที่ไร้จรรยาบรรณ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลก







