เศรษศาสตร์ยาสูบ (ตอน 1) กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า

อัตราการสูบบุหรี่ในระดับประชากรโลกลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ดังนั้น บริษัทยาสูบข้ามชาติจึงต้องหาทางให้ธุรกิจอยู่รอด
เมื่อได้รับฟังแนวคิดประเด็น เวลเนส คอมเพล็กซ์ (Wellness Complex) จากการให้สัมภาษณ์โดยท่านประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา
นายแพทย์ วีระพันธ์ สุวรรณนามัย นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ สำหรับเศรษฐกิจประเทศไทยและมีความเป็นไปได้สูงมาก
เนื่องจากศักยภาพด้านการแพทย์ของประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก เพื่อรองรับตลาดของผู้มีกำลังจ่าย และมีความพร้อมในการหนุนให้โรงแรมและโรงพยาบาล ปรับตัวได้ทันทีโดยไม่ต้องมีกฎหมายใหม่
แนวโน้มของอุตสาหกรรม เวลเนส ที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องสามารถดึงเม็ดเงินลงทุน ทำให้เกิดการจ้างงานในหลายภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร สุขภาพ และการท่องเที่ยว ส่งผลไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศได้เป็นอย่างดี
เรื่องเศรษฐกิจกับสังคม เป็นประเด็นถกเถียงกันไม่เพียงแต่เพราะ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เท่านั้น
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย สภาผู้แทนราษฎร เคยได้รับข้อมูลจากกลุ่มผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นผลิตภัณฑ์ถูกกฎหมายโดยอ้างว่า รัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบแล้วพบว่า รัฐบาลจะต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นหลายเท่าจากการรักษาพยาบาลผู้ได้รับผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้า
เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 รัฐสภาเวียดนามลงมติ 458 จาก 460 เสียง ห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่ายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด หลังจากผลการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์บ่งชี้ว่า ทุกๆ 1 หน่วยที่รัฐเก็บภาษีจากบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ จะมีผลกระทบทางลบ 5 เท่า จึงไม่มีความคุ้มค่าคุ้มทุน
จุดมุ่งหมายสำคัญของภาษีสรรพสามิตยาสูบ คือเพื่อลดการบริโภคยาสูบ ส่วนรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบเป็นผลพลอยได้เท่านั้น การสนับสนุนให้บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ถูกกฎหมาย เพื่อรัฐจะได้เก็บภาษีนั้น เป็นการหลงประเด็น
กลุ่มผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า มักจะไม่พูดข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน ประเด็นเรื่องภาษีจากผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้านั้น ข้อมูลจากงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียที่ ซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาคือ
รัฐเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าได้ปีละ 300 ล้านบาท แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลผู้ได้รับผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าปีละ 500,000 ล้านบาท (Tobacco Control 2013)
ทีมวิจัยบ่งชี้ว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายสุขภาพเพิ่มขึ้นต่อคนประมาณ 70,000 บาท (2,024 ดอลลาร์) ต่อปี มากกว่าผู้ที่ไม่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า
การนำประเด็นภาษีบุหรี่ไฟฟ้ามาอ้าง โดยกลุ่มที่สนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายนั้น ก็เพื่อที่จะหลอกลวงให้สังคมไขว้เขว
ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ยาสูบของธนาคารโลกเผยแพร่รายงานเรื่อง “จำกัดการแพร่ระบาด: รัฐบาลและเศรษฐศาสตร์ยาสูบ” ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งบ่งชี้ว่า การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ส่งผลให้สุขภาพของประชากรดีขึ้นและไม่มีผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจใดๆ
รายงานสำคัญฉบับนี้ทำให้บริษัทยาสูบข้ามชาติไม่สามารถใช้ประเด็น “เศรษฐกิจ” มาอ้างกับรัฐบาลในการขัดขวางนโยบายควบคุมยาสูบ
กรณีศึกษาจากประเทศฟิลิปปินส์ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ถึงแม้บริษัทยาสูบข้ามชาติเข้าไปลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์เก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้าได้ลดลง จาก 104,100 ล้านบาทเมื่อปี 2564 เหลือเพียง 78,200 ล้านบาทในปี 2566
ในขณะที่ผู้สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าหน้าใหม่อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 9.5 ล้านคน โดยอัตราการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 14.ในปี 2564 เป็นร้อยละ 18.9 ใน ปี 2566
ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานผลการสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของประชากรไทย ประจำปี 2567 พบว่าอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจากร้อยละ 17.4 ในปี 2564 เหลือร้อยละ 16.5 ในปี 2567 คิดเป็นจำนวน 9.8 ล้านคน
ซึ่งผลการสำรวจนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายควบคุมยาสูบอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังและศึกษาผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการขยายตัวของนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
เด็กและเยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่บริษัทยาสูบข้ามชาติผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และเครือข่ายบริวาร มุ่งเป้าการตลาดล่าเหยื่อไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน เพราะกลุ่มนี้เมื่อติด นิโคติน แล้วจะเป็นลูกค้าระยะยาว
การแพร่ระบาดของบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มเด็กและเยาวชนทั่วโลก บ่งชี้ว่าผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และเครือข่ายบริวารไม่สนใจกฎหมายใดๆ และเจตนา จงใจ ที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเสพติด นิโคติน เพื่อผลกำไรจาก “ผลิตภัณฑ์แห่งความตาย”
อัตราการสูบบุหรี่ในระดับประชากรโลกลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 ดังนั้น บริษัทยาสูบข้ามชาติจึงต้องหาทางให้ธุรกิจอยู่รอด ด้วยการหานวัตกรรมใหม่ๆ มาล่อลวงให้ชาวโลกเสพติด นิโคติน อีก เช่น บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมายห้ามบริษัทยาสูบหลอกลวงผู้บริโภคว่า บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน ผู้ผลิตบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ประเภทให้ความร้อน (Heat-not-Burn) จึงต้องแจ้งความจริงต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (US-FDA) ว่า
ผลิตภัณฑ์ประเภทให้ความร้อนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีสารเสพติดคือ นิโคติน และยังไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดอันตรายจากโรคต่างๆ ที่มีสาเหตุจากการสูบบุหรี่มวน
ถึงแม้บริษัทยาสูบจะไม่สามารถหลอกลวงผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ แต่บริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวาร พยายามหลอกลวงด้วยการใช้วาทกรรมที่บิดเบือนความจริงตลอดมา
ดังนั้น คำขวัญของวันงดสูบบุหรี่โลกสำหรับปี 2568 คือ “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” (Unmasking the appeal: Exposing Industry Tactics on Tobacco and Nicotine Products).







