มองอนาคตจาก เจนอัลฟ่า ที่วันนี้ยังนั่งดู YouTube อยู่หน้าจอ

ในโลกที่หมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงรายวัน มีแนวโน้มหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ และไม่สามารถย้อนกลับได้ นั่นคือการเติบโตของมนุษย์รุ่นใหม่
ในเวลานี้เรากำลังอยู่หน้าประตูของยุคใหม่ที่คนทั้งโลกต้องเตรียมรับมือกับคลื่นลูกใหญ่ที่กำลังซัดเข้ามาอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลัง คลื่นแห่ง “Generation Alpha” หรือที่เรียกกันว่า “เจนอัลฟ่า”
กลุ่มประชากรใหม่สุดนี้เกิดตั้งแต่ปี 2553-2567 ปัจจุบันอายุ 1-11 ปี กำลังจะเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ของโลกในทศวรรษหน้า และน่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะ Gen Alpha เป็นกลุ่มประชากรรุ่นแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับสมาร์ตโฟน ปัญญาประดิษฐ์ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เป็นรุ่นที่โตมากับดิจิทัลตั้งแต่กำเนิด (digital native) เติบโตมากับ YouTube มากกว่าหนังสือนิทาน รู้จักปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก่อนจะพูดได้คล่อง
พฤติกรรมและค่านิยมของคนรุ่นนี้ถูกกำหนดด้วยปัจจัยที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ในวิธีคิดและวิธีทำงาน แต่ยังรวมถึงมุมมองต่อชีวิต ความสำเร็จ และความรับผิดชอบต่อสังคม
เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2578 คน Gen Alpha รุ่นแรกจะมีอายุราว 25 ปี และเริ่มก้าวสู่ตลาดงาน ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมคลื่นเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามาแทนคนทำงาน งานประจำแบบเข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น อาจกลายเป็นของหายาก
ความสามารถในการปรับตัว เรียนรู้ตลอดชีวิต และใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือจะกลายเป็นคุณสมบัติบังคับของคนทำงานยุคใหม่ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Gen Alpha จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของโลกที่ต้องการคนที่ไม่ใช่แค่เก่ง แต่ยังมีใจในการเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัว
อุตสาหกรรมดิจิทัล หุ่นยนต์ พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมเกม เทคโนโลยีการศึกษา และสุขภาพ จะกลายเป็นสมรภูมิหลักของเศรษฐกิจใหม่ และ Gen Alpha จะไม่ใช่เพียงคนทำงานในอุตสาหกรรมเหล่านี้ แต่จะเป็นเจ้าของความคิดใหม่
ผู้ประกอบการที่กล้าทดลองโมเดลธุรกิจแบบไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น ครีเอเตอร์ NFT นักพัฒนา AI สายจริยธรรม หรือผู้ก่อตั้งฟาร์มแนวตั้งใจกลางเมือง คนรุ่นนี้มีทั้งเครื่องมือและแรงผลักจากค่านิยมที่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน
สิ่งที่น่าจับตาคือ การที่เจนอัลฟ่าให้ความสำคัญกับความยั่งยืน คนรุ่นนี้โตมากับภาพไฟป่าซิดนีย์และทั่วโลก โควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 ที่ทำให้ปิดโรงเรียน และการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจากเยาวชนทั่วโลก ทำให้เมื่อมีโอกาส พวกเขาจะเลือกสนับสนุนแบรนด์ที่รักษ์โลก เลือกงานที่ตรงกับคุณค่าภายใน และเรียกร้องให้บริษัทมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าแค่ผลกำไร
เทรนด์ ESG จึงจะจุดติดอย่างแท้จริงในยุคเจนอัลฟ่า ที่จะไม่ใช่เพียงแค่เป็นกระแสที่ต้องทำตาม แต่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่เมื่อเจนอัลฟ่ากลายเป็นผู้บริโภคหลักของโลก
ในขณะเดียวกัน เจนอัลฟ่าก็มีความเสี่ยงที่ต้องจับตา หากระบบการศึกษาไม่สามารถตามทันทักษะที่ตลาดงานอนาคตต้องการ หากความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยียังดำรงอยู่ และหากภาครัฐไม่สามารถออกแบบนโยบายรองรับแรงงานยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้
คนรุ่นนี้บางส่วนอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลายเป็นแรงงานไร้ทักษะในโลกที่ไม่มีที่ว่างให้ความล้าหลัง ที่ร้ายแรงกว่านั้น คือ ความอึดอัดของคนรุ่นเจนอัลฟ่าอาจระเบิดเป็นความขัดแย้งระหว่างรุ่น หากระบบสังคมไม่ยอมปรับตัวให้สอดรับกับแนวคิดและความฝันของพวกเขา
การมาถึงของเจนอัลฟ่า ไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ทางประชากรศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นการท้าทายโครงสร้างเดิมทุกมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ ตลาดแรงงาน วัฒนธรรมองค์กร ไปจนถึงการปกครองประเทศ
หากต้องการปลดปล่อยพลังของพวกเขาให้เต็มที่ สังคมจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้า สร้างระบบการศึกษาใหม่ที่เน้นทั้งทักษะเทคโนโลยีและความคิดวิพากษ์ เปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และออกแบบนโยบายแรงงานที่ยืดหยุ่นสำหรับโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าที่เคย
ในท้ายที่สุด การเติบโตของเจนอัลฟ่า ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่คือเรื่องของเรา คนรุ่นก่อนที่ต้องเป็นผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต หากสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีพอ สังคมจะได้เห็นโลกที่ดีขึ้นจากฝีมือของคนรุ่นใหม่ที่มีทั้งทักษะ เทคโนโลยี และหัวใจที่ใฝ่ดี
โลกที่นวัตกรรมรุ่งเรืองควบคู่กับคุณธรรม โลกที่ความเก่งไม่ได้อยู่เพียงในสมอง แต่แผ่กระจายไปในมือที่ลงมือทำ หัวใจและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ถ้าถามว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2045 หรืออีก 20 ปีข้างหน้า โลกจะหน้าตาเป็นอย่างไร? คำตอบจะไม่อยู่ในคำพยากรณ์ของนักเศรษฐศาสตร์หรือโมเดล AI ที่แม่นยำที่สุด หากแต่อยู่ในหัวใจของเด็กที่วันนี้ยังนั่งดู YouTube อยู่หน้าจอ เด็กที่ชื่อว่าเจนอัลฟ่าที่กำลังเติบโตไปเป็นอนาคต







