เหตุใด ‘สงฆ์เเละฆราวาสเทา’ | อาหารสมอง

เหตุใด ‘สงฆ์เเละฆราวาสเทา’ | อาหารสมอง

ท่านมีความรู้สึกกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร (1) กล้าทำอะไรที่เป็น “สีเทา” ทั้งสงฆ์และฆราวาส (2) “รู้ไหมว่าพ่อผมเป็นใคร?” (3) ครูเป็นหนี้มากกว่าข้าราชการสังกัดอื่น

(4) ไรเดอร์ชอบฝ่าไฟแดง (5) ขับรถประมาทเพราะมีประกันเต็มที่ (6) ได้รับเงินช่วยเหลือจนขี้เกียจทำงาน ฯลฯ ลองมาดูกันว่า “เศรษฐศาสตร์” คิดกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร

Moral Hazard หรืออันตรายอันเกิดจากศีลธรรม หรือความตั้งใจดี เป็นคอนเซปต์ทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องความเสี่ยงโดยระบุว่า มีสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งกล้ากระทำสิ่งที่มีความเสี่ยงมากขึ้น หากเชื่อว่าจะมีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนแบกต้นทุน (cost) ของความเสี่ยง (แบกภาระ) แทน

ตัวอย่างเช่น ธนาคารใหญ่กล้าปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง และกระทำสิ่งที่น่าหวาดเสียวทางการเงิน เพราะเชื่อว่าภาครัฐก็ต้องอุ้มและแบกต้นทุนบางส่วนแทนเสมอ

เราเห็นวิกฤติต้มยำกุ้งในบ้านเราเมื่อ 28 ปีก่อนที่ภาครัฐต้องเสียเงินมากมายในการอุ้มธนาคารที่มีปัญหา เพราะหากไม่ช่วยจะมีผลเสียต่อเศรษฐกิจอย่างมาก และตัวอย่างก็มีในประเทศใหญ่ให้เห็นมากมาย เช่น วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐเมื่อ 17 ปีก่อน

ความมั่นใจใน “การอุ้ม” ในลักษณะต่างๆ หากมีปัญหา ทำให้สถาบันการเงินกล้าเสี่ยงมากกว่าปกติจนนำสู่การสูญเสียเงินภาษีอากรได้มากมาย

ครูที่เป็นหนี้มากกว่าข้าราชการสายอื่นโดยเฉลี่ย ก็เพราะมีครูจำนวนมากเชื่อว่าถึงมีหนี้สินมากก็ไม่ต้องหวาดหวั่น เพราะอย่างไรเสียรัฐบาลต้องช่วยเหลือร่วมแบกภาระ เพราะจะปล่อยให้ครูที่ต้องรับผิดชอบเด็กจำนวนมากอยู่ในสภาวะจิตใจและฐานะการเงินย่ำแย่ได้อย่างไร ดังนั้น ครูจึงมีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงในการก่อหนี้และเป็นอันตรายต่อสังคมที่ต้องเสียเงินทองช่วยเหลือ

 

รถที่มีประกันเต็มที่สร้างความเชื่อมั่นแก่คนขับว่า ตนเองไม่ต้องแบกภาระเงินทองหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้จึงทำให้รถที่มีประกันมักมีอุบัติเหตุสูงเพราะคนขับกล้าสุ่มเสี่ยงมากกว่ากรณีที่ไม่มีประกัน

สำหรับคนที่ถามว่า “รู้ไหมว่าพ่อผมเป็นใคร” (เนื่องจากแม่ไม่ได้บอก) ก็มั่นใจว่าชื่อพ่อจะคุ้มหัวตัวเองได้ มั่นใจในความใหญ่โตจนกล้าทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงไม่ว่าขับรถเร็ว พกปืนก้าวร้าว ออกลูกนักเลง ฯลฯ ตลอดจนเรื่อง “สีเทา” เพราะคนอื่นจะแบกภาระแทนโดยตนเองไม่มีปัญหา

คนที่กล้าทำสิ่งที่เป็น “สีเทา” หรือเอาเปรียบคนอื่นอย่างหน้าหนาก็เพราะเชื่อและมั่นใจว่าตนเองมีแบ็กอัปดี โดยมีความรู้สึกคล้ายกับกรณีที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเเละไรเดอร์กล้าวิ่งฝ่าไฟแดงก็เพราะเชื่อว่าไม่ถูกตำรวจจับ (เป็นเรื่องน่าเชื่อเพราะปัจจุบันตำรวจจราจรทำงานกันเฉพาะที่โรงพักเท่านั้น) ไม่ต้องแบกภาระจึงกล้าเสี่ยง

อีกลักษณะหนึ่งคือ เงินช่วยเหลือแก่คนว่างงานนั้นเกิดขึ้นจากความตั้งใจดี แต่ก็เป็นอันตรายสำหรับหลายคน เพราะจะทำให้ขี้เกียจไม่คิดหางานทำ กล้าเสี่ยงที่จะอยู่บ้านแบมือรับเงินเพราะรู้ดีว่ามีรัฐเป็นที่พึ่ง

และสำหรับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นไข่ในหินก็เข้าหรอบเดียวกัน การเติบโตมาโดยมี “แบ็กอัป” ในทุกเรื่อง มีที่พึ่งเสมอ (ไม่ต้องแบกภาระ) อยู่ในความเสี่ยงที่ไม่ทำมาหากินโดยไม่รู้ตัวกรณีนี้พ่อแม่ตั้งใจดีแต่กลายเป็น “พ่อแม่รังแกฉัน”

คอนเซปต์ Moral Hazard อธิบายกรณีทั้งหมดนี้ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้เราเข้าใจโลกได้ดียิ่งขึ้นจากอีกแง่มุมหนึ่ง และประการสำคัญทำให้เห็นทางออกในการแก้ไขปัญหา กรณีของพระมีสมณศักดิ์สูงที่กล้าใช้เงินวัดเล่นการพนันเเละกระทำเรื่องเทาๆ

สำหรับสงฆ์ก็สามารถอธิบายได้ การมีสถานะสูงและอยู่ในสมณเพศเป็นเกราะหรือ “แบ็กอัป” ที่ทำให้ตนเองคิดว่าปลอดภัย ไม่มีปัญหาในการเแบกภาระ (ถูกลงโทษ) จนทำให้กล้าเสี่ยงยิ่งขึ้นในการกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 

การทำความชั่วนั้นเริ่มต้นจากเล็กน้อย เปรียบเหมือนความมืดของรัตติกาลที่คืบคลานมาทีละน้อยอย่างไม่รู้สึกตัว มารู้สึกอีกครั้งก็เมื่อมันมืดมิดเสียแล้ว ครั้นจะกลับไปสู่ความสว่างอีกครั้งก็ต้องรอไปถึงรุ่งเช้าหรือชาติหน้า

ยังมีอีกคอนเซปต์หนึ่งทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายเรื่องความเสี่ยงคือ Peltzman Effect ซึ่งเสนอโดยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโกในปี 2518 โดยระบุว่าเมื่อมนุษย์รู้สึกว่าตนเองปลอดภัยขึ้นจากมาตรการคุ้มครองก็จะกล้าเสี่ยงมากขึ้น จนเกิดผลเสียที่อาจไปหักลบผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการนั้น

ตัวอย่างเช่น การต้องคาดเข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ทำให้ผู้ขับรู้สึกว่าตนเองปลอดภัยมากขึ้น จึงมีทางโน้มขับรถอย่างสุ่มเสี่ยงจนอาจทำให้จำนวนอุบัติเหตุรวมเพิ่มขึ้นได้ (เเต่จำนวนคนตายต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้งลดลง) ในกรณีนี้ความรู้สึกว่าปลอดภัยมากขึ้นจากเข็มขัดนิรภัยทำให้กล้าเสี่ยงเพิ่มขึ้น จนเกิดผลเสียไปหักลบผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากมาตรการรัดเข็มขัด

ความกล้าฝ่าไฟแดงของไรเดอร์เข้ากับกรณีนี้ การใส่หมวกกันน็อกทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น และกล้าฝ่าไฟแดง จนอาจเกิดผลเสียต่อสังคมจนไปหักลบจากผลประโยชน์ด้านดีของมาตรการใส่หมวก

Peltzman Effect เป็นส่วนหนึ่งของ Moral Hazard โดยทั้งสองอธิบายพฤติกรรมเกี่ยวกับความเสี่ยง Peltzman Effect อธิบายการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น ส่วน Moral Hazard อธิบายการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงมากขึ้นอันเนื่องมาจากมีผู้อื่นร่วมแบกรับภาระความเสี่ยงหรือรับไปทั้งหมด

มนุษย์มีพฤติกรรมตอบรับต่อสิ่งจูงใจเสมอโดยเฉพาะในเรื่องความเสี่ยง ความรู้สึกว่าตนเองปลอดภัยจากสิ่งคุ้มครองหรือมาตรการ หรือไม่ต้องร่วมแบกภาระทำให้กล้ากระทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงมากขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้แหละที่ต้องระมัดระวังเพราะอาจเป็นภัยต่อตนเองโดยไม่รู้ตัว