ว่าด้วยหนี้ : จริยธรรมวิบัติ หรือ เท่าที่จะได้ ตามที่ต้องการ

ว่าด้วยหนี้ : จริยธรรมวิบัติ หรือ เท่าที่จะได้ ตามที่ต้องการ

ข้อมูลจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ไตรมาส 3 ของปี 2567 หนี้ครัวเรือนที่เราๆ ท่านๆ ซื้อบ้านซื้อรถผ่อนเครดิตการ์ดกันนั้นมูลค่า 16.34 ล้านล้านบาท

คิดเป็น 89% ของระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2567 (90.8% และ 89.8% ตามลำดับ) แต่ก็ถือว่าสูงอยู่ดี

แถมคุณภาพสินเชื่อครัวเรือนกลับแย่ลง โดยสัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPLs) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.46% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 8.01% ในไตรมาสก่อนหน้า

อันที่จริง สัดส่วนหนี้ครัวเรือนสูงร่วมกับคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลง ทำให้หนี้ครัวเรือนกลายเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจแก่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยมานาน

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” คือโครงการล่าสุดที่รัฐบาลและภาคเอกชนประสานพลังกันเพื่อ “ช่วย” คนที่ค้างจ่ายหนี้แต่ตัดสินใจจะ “สู้” โดยให้มีการลดค่างวดลง ยกเว้นดอกเบี้ย รวมถึงให้ชำระก้อนหนึ่งเพื่อปิดจบหนี้ กล่าวคือ อยากจะ “ช่วย” จะแย่ แต่ลูกหนี้ช่วยแสดงให้เห็นว่า “สู้” หน่อยเถอะ

การคิดว่าจะ “ช่วย” เฉพาะคนที่ “สู้” คือวิธีการแก้ปัญหาโดยมีแนวคิดพื้นฐานคือ คนเป็นหนี้จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้ที่ตนก่อ หากโครงการแก้ไขหนี้ของรัฐบาลทำให้พวกเขารู้สึกว่าสามารถกู้เงินมาใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คืน

คนเหล่านี้ก็จะเคยชินกับการก่อหนี้ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเพราะคิดว่าเดี๋ยวรัฐก็จะเข้ามาช่วยใช้หนี้ให้

ในทางเศรษฐศาสตร์ พฤติกรรมทำนองนี้จัดเป็นปัญหาจำพวกจริยธรรมวิบัติ (moral hazard) ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งคิดว่าเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

เพราะนั่นหมายความว่าปัจเจกนั้นจะเห็นแก่ตัว การแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองไม่ได้สร้างประโยชน์สูงสุดแก่สังคม และยังทำให้สังคมแย่ลงด้วย

คำถามก็คือ การเป็นหนี้แล้วไม่จ่าย (ไม่ว่าจะเพราะไม่สามารถจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องจ่าย หรือไม่ต้องการจ่าย) ก่อปัญหาจริยธรรมวิบัติ และทำให้สังคมแย่ลงจริงหรือ

David Graeber เสนอในหนังสือของเขาชื่อว่า Debt: The First 5,000 Years ว่า ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยบุพกาลที่ยังไม่มีการใช้เงิน  บุคคลหนึ่งให้ของหรือช่วยเหลืออีกบุคคลหนึ่ง เพราะความสัมพันธ์ทางสังคมรับประกันว่าเขาจะได้รับของหรือการช่วยเหลือเป็นการตอบแทนในอนาคต

ในขณะที่ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือก่อนก็รู้สึกว่า ตนต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนในวันข้างหน้า 

ทั้งนี้ ไม่มีใครตีการช่วยเหลือเป็นมูลค่าแบบในเงินตรา และไม่ได้มีคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนว่าผู้ได้รับการช่วยเหลือจะต้องตอบแทนคืนเป็นสิ่งที่มีมูลค่าเท่ากัน แต่รู้กันว่าจะพยายามตอบแทนเท่าที่จะทำได้ในอนาคต

นั่นคือเป็นการสัญญาว่าจะช่วยเหลือกันหรือหยิบยื่นสิ่งของให้กัน (IOU, I Owe You) “เท่าที่คุณจะทำได้ ตามที่คุณต้องการ” (from each according to their ability, to each according to their needs)

Graeber เรียกความสัมพันธ์ทำนองนี้ว่า “everyday communism” และ “คอมมิวนิสต์คือรากฐานของทุกการปฏิสัมพันธ์เป็นสังคม (socialability)” (หน้า 96) ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ผู้คนในแต่ละวัฒนธรรมพัฒนาการให้คำสัญญาว่าจะตอบแทนออกมาเป็นความเชื่อและการกระทำหลายรูปแบบ บางวัฒนธรรมเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อ “ชดใช้” กรรมบางอย่าง การทนทุกข์ทรมานในชีวิตคือลักษณะหนึ่งของการจ่ายหนี้ 

หนี้ ก็เป็นความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่งที่พัฒนามาจากการให้คำสัญญาว่าจะตอบแทน แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ หนี้คือคำสัญญาที่ถูกกำหนดมูลค่าเป็นตัวเงิน แต่ในหลายสังคม หนี้ถูกนำมาใช้เพื่อแสดงอำนาจกดขี่ผู้อื่น เจ้าหนี้ใช้อำนาจบีบให้ลูกหนี้กลายมาเป็นทาส

หรือเช่นเมื่อ IMF ใช้อำนาจบีบให้ประเทศไทยต้องปรับนโยบายเมื่อรับเงินกู้มาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยแม้ในขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์พัฒนาโลกที่สามก็ยังมีประเด็นต่อต้าน IMF อยู่

แต่ไม่ว่าหนี้จะถูกพัฒนาไปเป็นเครื่องมือแบบใดก็ตาม รากฐานก็ยังเป็นเรื่องของการให้คำสัญญาว่าจะตอบแทนเช่นเดียวกันกับการชดใช้กรรม การตอบแทนเทพเจ้า การทดแทนพระคุณพ่อแม่ และการแทนคุณผู้นำ

คำถามก็คือ เพราะเหตุใดการเป็นหนี้ทางการเงินแล้วไม่จ่าย (ไม่ว่าจะเพราะไม่สามารถจ่ายได้ ไม่จำเป็นต้องจ่าย หรือไม่ต้องการจ่าย) จึงเป็นการกระทำที่น่ากังวลว่าจะก่อปัญหาจริยธรรมวิบัติ

ในทางกลับกัน การเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้มีชีวิตเพื่อชดใช้กรรม การเลิกสละชีวิตมนุษย์ในพิธีบูชายัญเพื่อตอบแทนเทพเจ้า การเชื่อว่าลูกไม่จำเป็นต้องทดแทนพระคุณพ่อแม่ หรือการเห็นพ้องต้องกันว่าประชาชนไม่จำเป็นต้องแทนคุณผู้นำ กลับถูกมองว่าคือความก้าวหน้าของสังคม

ในทุกวันนี้ ความสัมพันธ์แบบ “เท่าที่คุณจะทำได้ ตามที่คุณต้องการ” ยังคงสร้างการปฏิสัมพันธ์กันเป็นสังคมให้เห็นได้เป็นปกติ เช่น ในการซื้อของฝากกันระหว่างเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือกันในที่ทำงาน การให้ความเอ็นดูลูกหลาน

หรือความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ ผู้หยิบยื่นสิ่งของหรือความช่วยเหลืออาจจะคาดหวังว่าจะได้ตอบแทนในอนาคต และผู้ได้รับก็อยากที่จะตอบแทนเช่นกัน 

แต่ก็ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้ถูกตีค่าเป็นเงินและไม่ได้มีคำมั่นสัญญาชัดเจนว่าจะต้องทดแทน การที่ผู้ได้รับคราวนี้ไม่ได้ตอบแทนคืนในคราวหน้าอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรืออาจจะสร้างปัญหาระหว่างบุคคล และไม่ได้ถูกมองว่าจะก่อปัญหาจริยธรรมวิบัติและทำให้สังคมเลวร้ายลง

Michael Hudson ในหนังสือชื่อว่า … And Forgive Them Their Debts: Lending, Foreclosure and Redemption from Bronze Age Finance to the Jubilee Year

ได้ยกตัวอย่างในประวัติศาสตร์มากมายเพื่อชี้ว่า เมื่อโครงสร้างทางสังคมผลักให้ผู้คนติดหนี้มากจนไม่สามารถชดใช้ได้ สิ่งที่ทำให้สังคมเลวร้ายถึงขั้นล่มสลายลงไป คือการตามเก็บหนี้อย่างเข้มงวดและใช้หนี้เป็นเครื่องมือสร้างพันธนาการ

ที่สำคัญทางแก้ปัญหาเมื่อเกิดวิกฤติกลับคือ การให้ลูกหนี้ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้หนี้อีกต่อไป โดยการประกาศยกหนี้ (debt jubilee)

ผู้เขียนไม่ได้มีคำตอบชัดเจนว่าสังคมไทยควรจะจัดการกับปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างไร เพียงแค่เห็นว่าหากรัฐบาล ธนาคารกลาง และธนาคารพาณิชย์สลัดหลักการจอมปลอมที่ว่าเป็นหนี้แล้วต้องชดใช้ 

จากนั้นก็เข้าใจว่า “คอมมิวนิสต์คือรากฐานของทุกการปฏิสัมพันธ์เป็นสังคม” และปฏิบัติต่อลูกหนี้เหมือนกับที่มนุษย์ปฏิบัติต่อกันในเรื่องอื่นๆ บนความสัมพันธ์แบบ “เท่าที่คุณจะทำได้ ตามที่คุณต้องการ”

สถาบันอันทรงอำนาจเหล่านั้น ก็คงไม่ต้องวุ่นวายกับการตั้งเงื่อนไขให้กับตัวเองในการบอกว่าลูกหนี้ต้องสู้ก่อนถึงจะยอมเข้าไปช่วย

ปัญหาก็คงจะแก้ง่ายกว่านี้กระมัง.