'ส้มจุก ปลุกชีวิตชาวจะนะ' สร้างอาชีพให้คน-แรงงานในชุมชน

แม้การลงทุนด้านการศึกษาจะสูง แต่โครงสร้างหลักสูตรและระบบสนับสนุนยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มแรงงานนอกระบบและเยาวชนกลุ่ม NEET(Youth not in Education,Employment,or Training)
แม้การลงทุนด้านการศึกษาจะสูง แต่โครงสร้างหลักสูตรและระบบสนับสนุนยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มแรงงานนอกระบบและเยาวชนกลุ่ม NEET(Youth not in Education,Employment,or Training)อายุระหว่าง 15-24 ปีที่ไม่มีส่วนร่วมในระบบการศึกษาและการฝึกอาชีพกว่า 1.4 ล้านคนส่งผลให้เยาวชนและแรงงานจำนวนมากติดอยู่ในวังวนของความไม่มั่นคง ขาดโอกาสพัฒนาสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาลถึง 3 แสนล้านบาทต่อปี
การฟื้นฟูพืชท้องถิ่นอย่าง “ส้มจุก” ในจังหวัดสงขลา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอาชีพ การเรียนรู้ และนวัตกรรมที่ยั่งยืนในกลุ่มเยาวชนและแรงงานนอกระบบ ผ่านวิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)ภายใต้“โครงการการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน"เกิดการหนุนเสริมอาชีพกว่า 15 อาชีพ ต่อยอดจากภูมิปัญญาหรือความต้องการจริงของชุมชน ไม่เพียงลดปัญหาการว่างงานในกลุ่มเปราะบาง แต่ยังช่วยให้ท้องถิ่นเข้มแข็งและมีรายได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'มะนังยงโมเดล' หมู่บ้าน CBTx ยึดหลักศาสนบำบัด สร้างงานสร้างอาชีพ
“ห้องเรียนที่เดินไปหาผู้เรียน” สร้างโอกาสที่หลากหลาย
ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ กสศ. กล่าวว่า หัวใจสำคัญของโครงการการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐานคือการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางอย่างแท้จริง “การศึกษาไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ในแค่ห้องเรียน แต่สามารถเดินไปหาทุกคนได้” และส้มจุกได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง “ห้องเรียนชุมชน” ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
โดย ปี 2562 ชาวบ้านในตำบลแค อำเภอจะนะรวมตัวกันก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะ ฟื้นฟูการปลูกส้มจุกให้กลับมา ซึ่งเดิมเป็นผลไม้เลื่องชื่อประจำท้องถิ่น สร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างดี แต่ในระยะหลังส้มจุกเริ่มเลือนหาย เนื่องจากการดูแลที่ยากและความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป รวมถึงการส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ
จึงได้ พัฒนาทักษะอาชีพการขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุก เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพการปลูก ขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุก พร้อมพัฒนาหลักสูตรการขยายพันธุ์ดูแลสวนส้มจุก 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรวิชาการและหลักสูตรภูมิปัญญา ซึ่งขับเคลื่อนโดยคนในชุมชน ทำให้ปัจจุบันส้มจุกมีราคาขายกิโลกรัมละ 150-250 บาท
ปลุกพลังเยาวชนสร้างอาชีพใหม่
ต่อมาขยายโครงการไปอีก 5 ตำบล ส่งเสริมการเรียนรู้และมีเครือข่ายการทำงานที่มากขึ้น โดยปี 2564 กสศ.ได้ให้โจทย์ในการให้ความสำคัญและออกแบบกิจกรรมกับเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางมากขึ้น มีการออกแบบการเรียนรู้อื่น ๆ เข้ามาเพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ร่วมเรียนรู้เพราะเด็กและเยาวชนไม่ได้ชอบเกษตรทุกคน
โดยมีโค้ชให้คำปรึกษาแนะนำแนวทาง หนุนเสริมอาชีพเพิ่มเติมให้กับเหล่าผู้ร่วมเรียนรู้กลุ่มใหม่อย่างเด็กและเยาวชนตามความถนัดและความสนใจกว่า 15 อาชีพ อาทิ ช่างตัดผม ช่างซ่อมรถ การเลี้ยงชันโรง การทำขนมพื้นบ้าน การเลี้ยงแพะ การปลูกผัก การขยายพันธุ์พืช การทำไม้เสียบลูกชิ้น การเลี้ยงเป็ดไข่ การเลี้ยงไก่ไข่ การเย็บผ้า การเชื่อมเหล็ก การรับจ้างมีดกรีดยาง การรับจ้างตัดหญ้า การเลี้ยงแพะ หรือแม้กระทั่งอาชีพเลี้ยงและเพาะพันธุ์ไก่ชนขาย
อะหมัด หลีขาหรี เลขานุการวิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะ กล่าวว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนตั้งขึ้นมาเพื่อขยายพันธุ์ส้มจุก เกิดอาชีพต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตร มีอาชีพให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้ได้เลือกว่าจะเลี้ยงไส้เดือน ทำความสะอาดสวน หรือเพาะพันธุ์ แต่หลังๆ มา กสศ.ให้ดูแลเยาวชนนอกระบบด้วยซึ่งเยาวชนเด็ก ๆ ไม่ชอบเกษตร จึงเพิ่มหลักสูตรการขายออนไลน์ให้เยาวชนเลือกได้ตามความต้องการ หากให้ตั้งใจจริงที่จะสร้างอาชีพสร้าง ทางกสศ.ก็มีสนับสนุนทั้งเงินและอุปกรณ์ในการสร้างอาชีพ
ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ส้มจุกกลายเป็นเครื่องมือที่ปลุกนิเวศการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเปราะบางหลายคนในพื้นที่ ช่วยยกระดับชีวิตให้สามารถลืมตาอ้าปากได้ ผ่านการหนุนเสริมที่ใช้ความถนัดและความสนใจเป็นเกณฑ์เลือกสรรอาชีพให้กับตัวเอง จากผลไม้ท้องถิ่นที่เกือบสูญหาย
วันนี้ส้มจุกไม่เพียงกลับมาอยู่ในมือของเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริงในชีวิตประจำวัน โครงการนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าหากระบบการศึกษาเปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้โดยมีรัฐสนับสนุนอย่างยืดหยุ่นและต่อเนื่อง ก็สามารถพลิกฟื้นชีวิตของคนเหล่านี้ได้







