นโยบายท่าอากาศยานปลอดบุหรี่ หรือไทยจะถอยหลังลงคลอง?

นโยบายท่าอากาศยานปลอดบุหรี่ หรือไทยจะถอยหลังลงคลอง?

เนื่องจากอัตราการสูบบุหรี่ในประชากรโลกลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ในขณะที่นโยบายท่าอากาศยานปลอดห้องสูบบุหรี่ในประเทศต่างๆ

ส่งผลให้ท่าอากาศยานนานาชาติขนาดใหญ่ต่างยกเลิกห้องสูบบุหรี่ในสนามบินเพื่อสนับสนุนนโยบายสนามบินปลอดบุหรี่ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (US-CDC) เผยแพร่งานวิจัยเมื่อปลายปี 2555 ว่าคุณภาพอากาศที่เลวร้ายจากควันบุหรี่มือสองและมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้โดยสารกว่า 110 ล้านคนต่อปี ในท่าอากาศยาน 5 แห่งจาก 29 แห่งของสหรัฐอเมริกา

คือ สนามบินนานาชาติเมืองเดนเวอร์ สนามบินนานาชาติ แอตแลนตา (Hartsfield-Jackson) สนามบินนานาชาติเมือง ลาส เวกัส (Mc Carran) สนามบินนานาชาติเมือง ซอล์ท เลก และสนามบินนานาชาติเมือง วอชิงตัน ดี ซี (Dulles)

งานวิจัยซึ่งสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทยเมื่อปี 2555 ว่าหากสนามบินในประเทศไทยไม่มีห้องสูบบุหรี่ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะสนับสนุนนโยบายสนามบินปลอดห้องสูบบุหรี่หรือไม่ (Sirichotiratana N, Yogi S, Prutipinyo C, 2012.)

พบว่า ร้อยละ 99 สนับสนุนนโยบายสนามบินปลอดห้องสูบบุหรี่ในประเทศไทย ร้อยละ 76 บ่งชี้ว่าจะยังคงมาเที่ยวที่ประเทศไทยหากมีนโยบายปลอดห้องสูบบุหรี่ในสนามบิน 

ทั้งนี้ ครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ให้สัมภาษณ์ในงานวิจัยนั้นเป็นผู้สูบบุหรี่ และร้อยละ 55 เป็นนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยมากกว่าสองครั้ง

นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยเพื่อสัมผัสวัฒนธรรม โบราณสถาน ลิ้มรสอาหาร ชมธรรมชาติที่งดงาม ฯลฯ ไม่ได้ต้องการมาเพื่อสูบบุหรี่ที่ประเทศไทย

นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่าจากการสำรวจควันบุหรี่มือสองในท่าอากาศยานนานาชาติของประเทศไทยในปี 2556 จำนวน 4 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่

โดยทำการเก็บตัวอย่างในห้องพักสูบบุหรี่ บริเวณใกล้ประตูห้องสูบบุหรี่ และบริเวณที่ปลอดบุหรี่ ด้วยการตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) 

พบว่า ในห้องพักสูบบุหรี่มีระดับเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ถึง 773.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ซึ่งสูงกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า ขณะที่ใกล้ประตูห้องพักสูบบุหรี่พบ 54.6 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. และบริเวณปลอดบุหรี่พบ 14.3 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.

โดยมีเพียงบริเวณปลอดบุหรี่เท่านั้นที่ระดับค่าเฉลี่ยไม่เกินมาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.

ทั้งนี้ กฎหมายอาคาร สถานที่สาธารณะต้องปลอดควันพิษและควันบุหรี่ จึงมีผลให้ท่าอากาศยานที่มีอากาศยานขึ้น/ลงมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาจำนวน 32 จาก 35 แห่งเป็นสนามบินปลอดบุหรี่ (American Nonsmokers’ Rights Foundation, 2025. 

และท่าอากาศยานนานาชาติขนาดใหญ่ที่ยกเลิกห้องสูบบุหรี่ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้

1. ท่าอากาศยานนานาชาตินครหลวง ปักกิ่ง

2. ท่าอากาศยานนครชิคาโก โอแฮร์ (พ.ศ. 2567)

3. ท่าอากาศยานนครลอนดอน ฮีทโรว์

4. ท่าอากาศยานนานาชาตินคร ลอส แองเจลิส (มกราคม พ.ศ. 2568)

5. ท่าอากาศยานนานาชาตินคร เซี่ยงไฮ้ ปูดง  

นับตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา ท่าอากาศยานต่างๆ ในประเทศไทยเป็นสนามบินปลอดห้องสูบบุหรี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าเป็นไปตามสังคมโลกที่ต้องการลดมลภาวะและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ปลอดภัยต่อสุขภาพ 

ในขณะที่ผู้บริหารของบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด (มหาชน) แสดงออกถึงการด้อยวิสัยทัศน์ และ “ถอยหลังลงคลอง” ด้วยการเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อขอทำห้องสูบบุหรี่ในสนามบิน

นับเป็นความภาคภูมิใจเมื่ออาคารเทียบเครื่องบินรอง (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับรางวัลจากองค์การ UNESCO เป็น 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567

ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทางด้านความงาม ทั้งภายนอกและภายในอาคาร 

และในระยะยาว สนามบินสุวรรณภูมิมุ่งสู่การเป็นท่าอากาศยานสีเขียว (Green Airport) ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)

และมีแผนการใช้พลังงานสะอาดโดยติดตั้งแผงพลังงานจากดวงอาทิตย์ (Solar cell) ภายในท่าอากาศยาน

การเสนอขอทำห้องสูบบุหรี่ในอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ นับเป็นการจงใจที่จะทำให้สนามบินหนึ่งในหกที่สวยที่สุดในโลกแปดเปื้อน ทำลายความภาคภูมิใจต่อรางวัลที่ได้รับการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น

 เป็นความย้อนแย้งต่อการมุ่งสู่ท่าอากาศยานสีเขียว และเป็นการเจตนาจงใจที่จะทำลายสิ่งแวดล้อม โดยอ้างว่ามีผู้โดยสาร 165 คนจากจำนวน 48 ล้านคน ระหว่างปี 2561-2567 เรียกร้องให้มีห้องสูบบุหรี่ในสนามบิน

เมื่อสังคมพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว จึงไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมสำหรับห้องสูบบุหรี่ภายในอาคารสนามบินซึ่งได้รับรางวัลทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นระดับโลก และมุ่งเน้นพลังงานสะอาดภายในท่าอากาศยาน.