เตือน! พรรคร่วมรัฐบาล ร่วมวงดันกาสิโน เสี่ยงร่วมกระทำผิดกฎหมาย

เตือน! พรรคร่วมรัฐบาล ร่วมวงดันกาสิโน เสี่ยงร่วมกระทำผิดกฎหมาย

ใกล้ครบ!  50,000 ชื่อ ยื่นทำประชามติ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์พ่วงกาสิโน เตือนพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมวงดันต่อเสี่ยงร่วมกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2568 นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจถึงความคืบหน้าการรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นให้มีการทำประชามติร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ขณะนี้ดำเนินการรวบรวมรายชื่อได้แล้วเกือบ 40,000 รายชื่อ

เมื่อครบ 50,000 รายชื่อ ก็จะยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ซึ่งจะใช้เวลาตรวจสอบรายชื่อให้เสร็จภายใน 30 วัน  หากสามารถรวบรวมรายชื่อได้ครบภายในสิ้นเดือนเม.ย.นี้ กกต.ก็จะต้องทำให้ภายในเดือนพ.ค.  ฉะนั้นประมาณเดือนมิ.ย.น่าจะเสร็จกระบวนการ  ในเดือนก.ค.2568 ก่อนที่สภาฯ จะเปิด จังหวะเวลาก็จะไปเจอกันตรงจุดนี้

“เมื่อกระบวนการประชาชนขอทำประชามติโดย กตต.เดินเรื่องให้เรียบร้อยส่งเรื่องเข้า ครม. เป็นจุดที่รัฐบาลจะต้องตอบว่าเห็นชอบกับการทำประชามติหรือไม่ ถ้าไม่เห็นชอบก็จะเป็นจุดหนึ่งที่จะเกิดประเด็นทางสังคม  ถ้าตอบเหตุผลไม่ได้ก็อาจจะถูกฟ้องว่าละเมิดกฎหมาย รวมถึงรัฐสภาต้องตอบด้วยหากเห็นว่าประชาชนทำตามเงื่อนไข ตามกฎหมายแล้วว่าจะหยุดกระบวนการของตัวเองหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดยังอยู่ในเวลา เพียงแต่ดีที่สุดรัฐบาลถอนตอนนี้เลยจะดีกว่า”

พรรคร่วมเสี่ยงร่วมทำผิดกฎหมาย

นายธนากร กล่าวอีกว่า ขณะนี้หลายฝ่ายพยายามหาทางลงเรื่องนี้ให้กับรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาลว่ามีประเด็นทางกฎหมายหลายประเด็น เพราะฉะนั้น พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่อยากจะลงเรือไปกับพรรคเพื่อไทยในเรื่องนี้ น่าจะมีเหตุผลที่จะขออ้างได้ว่าไม่ขอเดินหน้าต่อ จากที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายหลายเรื่อง จึงเป็นความเสี่ยงภัยของพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้มีนโยบายในเรื่องนี้ด้วย

“จุดนี้น่าจะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะลังเล เพราะมีผลต่ออนาคตการเลือกตั้งในครั้งต่อไป ซึ่งอาจจะไม่ได้รอถึง 2 ปี อาจจะมีเร็วกว่านั้นหรือไม่”

ธนากร ย้ำว่า ร่างกฎหมายที่จะนำเข้าสภาฯ ไม่ได้ดีขึ้นแถมแย่ลงด้วย โดยลูกเล่นของรัฐบาลที่เสนอให้ไปหารือชั้นกรรมาธิการ ใครที่รู้ทันก็จะเห็นว่าเป็นหลุมพราง เพราะในชั้นกรรมาธิการเสียงของพรรครัฐบาลมากกว่าย่อมโหวตชนะ นอกจากนี้ พยายามที่หลอกผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านเข้าไปเป็นกรรมาธิการ ซึ่งเหมือนให้ไปตรายาง ทำให้เรื่องนี้เกิดความชอบธรรม จะกลายเป็นอุบายลวง

ในส่วนที่กระทรวงการคลัง มาชี้แจงเพิ่มเติม ไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น อย่างเช่นกรณี คนไทยต้องมีเงินฝาก 50 ล้านถึงจะเข้าไปใช้บริการได้ แต่ความจริงรู้อยู่แล้วว่าเงื่อนไขนี้รัฐบาลไม่ต้องการ แต่คงประเด็นนี้ไว้เพราะไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกฤษฎีกาแล้วต้องแก้ไขใหม่ แล้วหวังว่าเข้ากรรมาธิการก็จะโหวตชนะ เงื่อนไขนี้ก็จะตกไป  

หรือคำชี้แจงรองนายกฯ ออกมาพูดว่าเจอกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาแล้วเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะเป็นตัวแก้ปัญหา เป็นการโมเมยิ่งทำให้สังคมรับไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็กที่จะเอาเหตุผลแค่นี้มาหลอกให้เชื่อมั่น

เปิดช่องทุจริตได้ขนานใหญ่ในระยะยาว

นายธนากร กล่าวอีกว่า สังคมส่วนใหญ่กังวลเรื่องนี้ในประเด็นที่จะเกิดปัญหาการพนัน และอยากชี้ให้เห็นอีกประเด็นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ เขียนแบบมีช่องโหว่อย่างมาก และเป็นกฎหมายที่เปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ขนานใหญ่ในระยะยาว  

ทั้งเรื่องการไม่มีขอบเขตชัดเจน และรัดกุมของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลักว่าจะเป็นขนาดไหนก็ได้ นอกจากนี้ กฎหมายตีเช็คเปล่าให้แก่ฝ่ายการเมือง คือ คณะกรรมการนโยบาย และครม. เป็นผู้ใช้อำนาจแทนประชาชนทั้งหมดในการชี้เป็นชี้ตาย ชี้ถูกชี้ผิด โดยไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการถ่วงดุล ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ  

นับเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะจะทำให้ฝ่ายการเมืองจะกำหนดทุกอย่าง จะเปิดที่ไหน ให้ใครได้รับใบอนุญาต จะกำหนดค่าใบอนุญาตเท่าไร ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราขั้นสูงแต่ไม่ได้ล็อกขั้นต่ำ ก็สามารถย่อหย่อนเรื่องค่าใบอนุญาต 

รวมถึง มาตรการเข้า-ออกของกาสิโน ภาษีจะเก็บเท่าไร  ก็เป็นอำนาจกำหนดของคณะกรรมการนโยบาย และครม.ทั้งสิ้น  ขณะที่เงินที่เป็นรายได้จากกิจการก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเงินจะต้องไปไหน ซึ่งเป็นประเด็นเห็นต่างระหว่างกฤษฎีกาที่เห็นว่ารายได้ทั้งหมดต้องส่งเข้าแผ่นดิน ส่วนรัฐบาลเห็นว่าเหลือเท่าไรจึงส่งเข้าแผ่นดิน

ส่วนเรื่องปัญหาจากการพนัน กฎหมายก็ไม่ได้เขียนอย่างผูกมัดหรือสร้างความเชื่อมั่นได้มากพอว่าจะมีหน่วยงานมาดูแลเรื่องผลกระทบอย่างเป็นจริงจัง เพียงแต่ฝากไว้ให้สำนักงานกำกับกิจการเป็นเจตนาที่จะไม่ให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ และไม่มีอะไรสร้างความเชื่อมั่นได้เลยว่าสังคมจะได้รับการดูแลเรื่องผลกระทบ ไม่เพียงเท่านี้ 

“กฎหมายนี้ยังมีช่องโหว่ที่นำไปสู่การทุจริตเชิงนโยบายได้ง่าย ยังมีจุดที่เปิดช่องให้เกิดการโกงได้ โดยใช้กฎหมายเป็นข้ออ้าง เพราะฉะนั้น เมื่อประชาชนยังไม่มั่นใจ และรัฐบาลยังตอบหลายคำถามของสังคมไม่ได้ ยังตอบแบบขายฝัน โดยสปิริตรัฐบาลควรหยุดเรื่องนี้ หากจะทำจริงต้องกลับไปกลัดกระดุมเม็ดแรก ทำการบ้านใหม่ ศึกษาอย่างจริงจัง และกำหนดโมเดลให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ประเมินความคุ้มค่าคุ้มทุน”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์