ชำแหละปัญหา 'ดื้อโบ' เมื่อความสวยเริ่มสั่งไม่ได้!

คลั่งสวยระวังซวย! เจาะต้นตอปัญหา "ภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน" หรือ "ภาวะดื้อโบ" พบคนเอเชีย-แปซิฟิกเกินครึ่ง มีปัญหาดื้อหนักจากการใช้ที่ไม่ถูกวิธี พร้อมเปิดเคส "คนดื้อโบ" สู่ "คนตื่นโบ” อุทาหรณ์เตือนใจคนอยากสวย
คุณพอใจในใบหน้าตาของตัวเองแค่ไหน? คำตอบของคำถามนี้ ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับบางคน "สวยขึ้น หล่อขึ้น ดูเด็กขึ้น" คือความปรารถนาที่พวกเขาอยากเห็นตัวเองในเวอร์ชั่นนี้ และหนึ่งในตัวช่วยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการใช้ "โบทูลินัม ท็อกซิน"
แต่บนเส้นทางการไขว่คว้าความสวยด้วยวิธีนี้ จะมีสักกี่คนที่รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า "โบทูลินัม ท็อกซิน" คืออะไร มีอะไรบ้างที่ต้องเรียนรู้และพึงระวัง เพราะจำนวนเคส "ดื้อโบ" เพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วง
"โบทูลินัม ท็อกซิน" คืออะไร?
โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) ชื่อนี้ถ้าไม่ใช่แพทย์ หรือไม่ได้อยู่ในวงการความงาม อาจไม่รู้ว่ามันคือโปรตีนที่สกัดได้จากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ถูกนํามาพัฒนาใช้เป็นยารักษาโรคตั้งแต่ปี ค.ศ. 1895 ออกฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัวชั่วคราว ในทางการแพทย์จึงนำไปใช้รักษาภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ (ตาเข หนังตากระตุก กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว) การปวดศีรษะไมเกรน ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง และภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ
ส่วนในแวดวงความงาม หลังจาก Dr. Alastair Carruthers แพทย์จากเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา สังเกตคนไข้ของเพื่อนที่ได้รับการรักษาโรคกล้ามเนื้อรอบตาหดเกร็งด้วยตัวยาดังกล่าว พบว่า รอยย่นหว่างคิ้วลดลง จึงทดลองใช้ที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าบางจุด ผลก็คือรอยย่นที่ไม่ต้องการบางแห่งหายไป ทำให้ท็อกซินตัวนี้ขยายออกไปในวงกว้างจนกลายเป็นหนึ่งในหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมมากที่สุด (อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย)
ปัจจุบันมีหลายบริษัทหลายประเทศผลิต "โบทูลินัม ท็อกซิน" ออกมาจําหน่ายในชื่อทางการค้าต่างๆ มากมาย ทั้งยุโรป อเมริกา และเกาหลี โดยมีกระบวนการผลิตที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะที่แตกต่างกัน ทั้งส่วนประกอบของท็อกซิน สารช่วยทางเภสัชกรรม และความบริสุทธิ์ ทำให้ในแง่ประสิทธิภาพและปริมาณยามีความแตกต่างกันออกไปด้วย
"ดื้อโบ" ปัญหาความงามที่เริ่มสั่งไม่ได้!
ท่ามกลางความนิยมในการใช้ "โบทูลินัม ท็อกซิน" ที่เพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 พบว่า มีการเติมสวยด้วยวิธีนี้มากกว่า 9 ล้านครั้งทั่วโลก (Global Survey 2022 from ISAPS Reports a Rise in Aesthetic Surgery Worldwide) ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่น่าห่วงและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ "ภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน" หรือ "ภาวะดื้อโบ"
ปัญหานี้เริ่มมีการตื่นตัวจากหลายฝ่าย จนล่าสุดถูกนำมาแลกเปลี่ยนและร่วมกันหาทางออกบนเวที DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับโลกด้านแพทย์ผิวหนังและความงาม DASIL (Dermatology, Aesthetics, and Surgery International League) World Congress ครั้งที่ 12 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมมีการเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจพบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจเอเปค มีภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซินมากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ จากสวยสั่งได้ เริ่มไม่ค่อยได้ผลตามที่ต้องการ
ข้อมูลดังกล่าว มาจากผลสำรวจระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เรื่อง "ภาวะการดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน" ซึ่ง เมิร์ซ เอสเธติกส์ ให้การสนับสนุน Frost & Sullivan ในการจัดทำ ครอบคลุมผู้บริโภคจำนวน 2,588 คนจาก 9 เขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ ออสเตรเลีย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และไทย โดยพบว่า ร้อยละ 81 เผชิญกับประสิทธิผลที่ลดลง ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ขั้นต้นของภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซิน ในขณะที่ร้อยละ 66 พบปัญหาภาวะดื้อโบเพิ่มขึ้นจากการรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น การเพิ่มปริมาณสาร การเติมถี่ เติมบ่อย หรือเข้ารับการรักษาที่ไม่เกิดประสิทธิผลต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังมีผลสำรวจของบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 242 คนจาก 8 เขตเศรษฐกิจเอเปค ที่เผยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแปลกปลอมในสูตรยากับภาวะดื้อโบ โดยร้อยละ 84 ยอมรับว่าสูตรโบทูลินัม ท็อกซินของแบรนด์ต่างๆ มีความแตกต่างกันและมีความบริสุทธิ์ต่างกัน และมากกว่าร้อยละ 90 เห็นด้วยว่า การใช้สารท็อกซินที่มีสิ่งแปลกปลอมเป็นประจำ อาจส่งผลให้ร่างกายพัฒนาแอนติบอดีมายับยั้งการออกฤทธิ์ของโบทูลินัม ท็อกซินได้
ทำไมต้อง "ตื่นรู้" เรื่องดื้อโบ
"ภาวะดื้อโบ" หลายคนอาจคิดว่าไม่เห็นเป็นอันตรายอะไร แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีไปเรื่อยๆ เช่น เพิ่มปริมาณโดส การเติมถี่ เติมบ่อย หรือใช้สลับยี่ห้อกันไปมา พอถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านมากขึ้น ประสิทธิผลในครั้งต่อๆ ไปก็จะเริ่มลดลง หรือทำแล้วไม่เห็นผล ซึ่งบางรายกว่าที่ร่างกายจะกลับมาตอบสนองได้เหมือนเดิมต้องรอกันหลายปี
ขยายความเพิ่มเติมโดย ดร.เซียว ตั๊ก หวา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผู้อำนวยการทางการแพทย์ของ Radium Aesthetics ที่ร่วมแบ่งปันเคสคนไข้เพศหญิงชาวสิงคโปร์วัย 47 ปีในงานประชุม DASIL/MERZ ASCEND Council Meeting โดยเขาบอกว่า กว่าคนไข้จะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบทูลินัม ท็อกซินอีกครั้ง ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าไรในการแก้ไขเรื่องแอนติบอดีที่ยับยั้งการออกฤทธิ์ได้ ในบางกรณีอาจใช้เวลาหลายปี และในบางกรณีก็อาจไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ ดังนั้นทางเลือกที่รอบคอบคือ การใช้สูตรที่มีความบริสุทธิ์สูงตั้งแต่เริ่มแรก
ไม่เพียงแต่สร้างความทุกข์ใจในด้านความงามเท่านั้น "ภาวะดื้อโบ" ยังส่งผลต่อการรักษาโรคบางโรคด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา อาจารย์ประจำภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เคยให้ความรู้ว่า ถ้าวันหนึ่งป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ระบบประสาท หรือโรคอื่นๆ ที่ต้องใช้โบทูลินัม ท็อกซินในการรักษา ก็จะใช้ไม่ได้ผลไปด้วย ถึงตอนนั้นจะเป็นปัญหาใหญ่ และอาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไข้ได้
เปิดเคส "ดื้อโบ" สู่ "คนตื่นโบ" ในไทย
เมื่อมาดู "ภาวะดื้อโบ" ในไทย มีข้อมูลตัวเลขจากการติดตามผลเลือดของผู้ป่วยที่สงสัยมีภาวะดื้อปี 2564-2565 จำนวน 137 คน พบภาวะดื้อโบ 79 คน หรือคิดเป็น 58 % โดยแบ่งผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่อโครงสร้างโปรตีนได้ 2 รูปแบบคือ ภาวะดื้อต่อ Core neurotoxin (โครงสร้างหลักในการออกฤทธิ์) อยู่ที่ 48 % ดื้อต่อสาร Complexing proteins (โครงสร้างเสริมที่ไม่จำเป็นต่อการออกฤทธิ์) อยู่ที่ 18 % และดื้อทั้ง Core neurotoxin และ Complexing proteins อยู่ที่ 8 %
"เจน" อายุ 33 ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว คือหนึ่งใน "คนดื้อโบ" ที่ผลตรวจเลือดออกมาพบว่า มีภาวะดื้อโบสูงกว่า 90 % โดยเธอเล่าว่า เริ่มเข้าสู่วงการเติมโบตั้งแต่อายุ 23 ปี เพราะอยากหน้าเรียว และกลัวมีริ้วรอยถาวรจากการขมวดคิ้ว การย่นหน้า ซึ่งตอนนั้นเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ ให้หมอแกะกล่องและดึงยาต่อหน้า ที่สำคัญคือเว้นช่วงห่างทุกๆ 6 เดือน หรือเติมแค่ปีละ 2 ครั้ง แต่หลังจากผ่านไป 3 ปี เริ่มรู้สึกว่าประสิทธิผลลดลง จากเดิมอยู่ได้นาน 4 เดือน หลังๆ อยู่ได้แค่ 2 เดือน จึงหยุดพักหน้าไป 3 ปี จนเมื่อต้นปี 2567 ไปตรวจเลือดกับศูนย์วินิจฉัยภาวะดื้อต่อโบทูลินัม ท็อกซินฯ ของรพ.ศิริราช ผลปรากฏว่า ดื้อโปรตีนที่อยู่ในสูตรยาของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อหนึ่ง
"ยอมรับว่าช็อคไปเลย เครียดมาก เหมือนฟังผลว่าเป็นโรคร้าย ต้องเปลี่ยนไปใช้สูตรที่มีความบริสุทธิ์เท่านั้น ลองเติมไปแล้วอยู่ได้แค่ 1-2 เดือน จนมารู้ว่าต้องเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญการสูงด้วย เพราะปริมาณที่ต้องใช้ต่างกัน มีความบริสุทธิ์ต่างกัน จึงอยากฝากว่า การเติมสารอะไรเข้าไปที่หน้า ย่อมมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้เสมอ สำคัญที่สุดคือ สังเกตตัวเองให้ดี ถ้าเริ่มผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อจะได้แก้ไขได้ตรงจุด"
ด้าน "พิม" อายุ 35 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาภาวะดื้อโบจากการขาดความรู้และความเข้าใจในการใช้โบทูลินัม ท็อกซิน โดยเธอยอมรับว่า ไม่ได้ศึกษาหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วน ไม่ได้คำนึงถึงผลข้างเคียง และไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่า "ดื้อโบ" จนวันหนึ่งเริ่มใช้ไม่เห็นผล ถึงเข้าใจความรู้สึกของคนดื้อโบ เพราะไม่รู้จะกลับมาเติมได้อีกเมื่อไร
"พิมเริ่มเติมโบครั้งแรกตอนอายุ 27 ปี ตอนนั้นรู้แค่ว่าเติมแล้วหน้าเล็กลงก็เลยตัดสินใจทำ เลือกใช้อยู่ 2 ยี่ห้อ เติมประมาณปีละครั้ง แต่ครั้งละ 200 ยูนิต เห็นผลอยู่ในช่วง 3-4 ปี หลังจากนั้นประสิทธิผลค่อยๆ ลดลง และไม่เห็นผลใดๆ จนต้องพักหน้าไป 3 ปี ส่วนสาเหตุที่ดื้อน่าจะมาจากปริมาณการใช้ในแต่ละครั้งที่มากเกินไป รวมถึงโปรตีนในสูตรยาของบางยี่ห้อ คุณหมอจึงแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้สูตรที่บริสุทธิ์สูง หน้าก็ค่อยๆ กลับมาตอบสนองต่อการรักษามากขึ้น จึงอยากแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ให้ดีๆ ส่วนตัวมองว่ายิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไรยิ่งดี"
หมอแนะ "4 ข้อ" ต้องรู้ ถ้าไม่อยากดื้อโบ
"ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้" แต่ถ้าเลือกใช้ "โบทูลินัม ท็อกซิน" ไม่เหมาะสม และไม่ถูกวิธี ก็อาจจะกลายเป็น "คนดื้อโบ" ในชาติภพนี้ได้เหมือนกัน
ศ.นพ.วาสนภ วชิรมน อาจารย์ประจำสาขาวิชาโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า โบทูลินัม ท็อกซิน ก็คือ สารแปลกปลอมอย่างหนึ่ง ร่างกายเห็นก็จะต่อต้านมัน ถ้ายิ่งโหลดเข้าร่างกายบ่อยๆ และมากเกินไป โอกาสที่จะ ดื้อโบ ย่อมมีได้สูง
"มันคือยาที่ดี ถูกใช้เพื่อการรักษามานานแล้ว ก่อนปี 2000 ด้วยซ้ำ ส่วนเพื่อความงาม ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2000 ต้นๆ เอาเป็นว่าสัก 20 ปีละ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ทางที่ดีเลือกใช้อย่างชาญฉลาด อย่าให้ร่างกายเราดื้อ หลักๆ ที่แนะนำคือ 1. อย่าเติมถี่น้อยกว่า 3 เดือน หรือเติมบ่อยเกินไป เช่น วันนี้อยากจะเติมหางตา อีกวันมาเติมหน้าผาก แบบนี้ไม่ควร 2.อย่าใช้โดสเยอะ ให้ใช้เท่าที่จำเป็น 3. เลือกสูตรที่คิดว่าบริสุทธ์ที่สุด และ 4. อย่าสลับยี่ห้อไปมา เพราะร่างกายจะงงได้"
ส่วนถ้าใครใช้ยี่ห้อเดิมแล้วไม่พบปัญหาอะไร คุณหมอแนะนำว่า ให้ใช้ยี่ห้อเดิมไปก็ได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าประสิทธิผลลดลง และต้องเพิ่มปริมาณโดสมากขึ้นเพื่อให้เห็นผลเท่าเดิม ตรงนี้อาจดื้อเพราะสูตรยา ควรเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้อที่มีความบริสุทธิ์มากขึ้นแทน
ในยุคที่ใครๆ ก็อยากสวย อยากหล่อ อยากดูดี แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะดีกว่าไหม ถ้าได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นอย่างมั่นใจและปลอดภัย เพราะในโลกใบนี้ "อะไรที่เกินพอดี มักจะอยู่ไม่นาน" เช่นเดียวกับวงการความงาม หากคลั่งสวย คลั่งโปรฯ จนขาดสติ "ไม่รู้ลิมิต" และ "ไม่รู้จักพอ" อาจตามมาด้วยโทษที่คาดไม่ถึง







